ทำไมต้องทำ อีคอมเมิร์ซ E-Commerce?​

ทำไมต้องทำ อีคอมเมิร์ซ E-Commerce?​ 12

E-Commerce คือ “การขายของออนไลน์” ไม่ว่าจะขายบนเว็บไซต์, บน Shopee, Lazada หรือ ขายบน Facebook Instagram ฯลฯ ซึ่งสมัยนี้ใครๆ ก็สามารถเริ่มเองได้ จากความง่ายนี้เอง ส่งผลให้คู่แข่งมีจำนวนเพิ่มขึ้น 

ทำไมต้องทำ อีคอมเมิร์ซ E-Commerce?

โอกาสเข้าถึงลูกค้าลดลง โดยเฉพาะคนที่มีแค่หน้าร้านเพียงอย่างเดียว ดังนั้นใครยังไม่เริ่มจึงควรรีบ ส่วนใครที่กำลังทำอยู่จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ โดยเริ่มแรกเราจะไปดูเหตุผลกันก่อนว่า ทำไมจึงควรเริ่มทำ E-Commerce ได้แล้ว

เพราะตลาด E-Commerce กำลังโตอย่างต่อเนื่อง​

จากข้อมูลการสำรวจของ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ETDA พบว่ามูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซไทยปี 2561 มีมูลค่า 3,150,232.96 ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมา ถึง 14% และมีแนวโน้มโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อีคอมเมิร์ซ

เพราะจำนวนผู้ซื้อเพิ่มขึ้นทุกปี

ยิ่งไปกว่านั้นตามสถิติผู้ใช้งาน Priceza.com ระหว่างปี 2018 และ 2019 พบว่าคนที่เข้ามาค้นหา เปรียบเทียบราคาสินค้า และเกิดการซื้อขายออนไลน์มีจำนวนมากกว่าเดิมถึง 86%

เพราะร้านค้าที่มีเฉพาะหน้าร้านกำลังเจอปัญหา​

ทั้งปัญหาเรื่องคู่แข่งทางตรง – ทางอ้อมที่เพิ่มขึ้น และปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ที่ผู้คนถูกงดออกจากบ้าน รัฐบาลออกมาตรการ Social Distance ทำให้โอกาสที่ลูกค้าจะออกมาซื้อสินค้า หรือใช้บริการที่หน้าร้านค้าลดลง
ดูเหตุผลแล้วเริ่มจะสนใจ? งั้นก็ไปเริ่มทำกันเลย

เริ่มทำ E-Commerce​

รู้ว่าเราเป็นใคร?

อีคอมเมิร์ซ

สิ่งแรกสุดที่จะต้องทำ คือการตอบคำถามให้ได้ว่า ธุรกิจของเราเป็นแบบไหน สินค้าของเราคืออะไร และเราขายให้ใคร เพื่อกำหนดช่องทางที่เราจะเอาสินค้าไปลงขายออนไลน์ให้เหมาะสม

เริ่มขายออนไลน์ที่ไหนดี?​

หลักๆ เราแบ่งช่องทางการทำอีคอมเมิร์ซออก 3 ช่องทาง ได้แก่ การทำบนเว็บมาร์เก็ตเพลส (Marketplace), การทำบนเว็บไซต์ของตัวเอง (Self-Site) และการทำบนโซเชียลมีเดีย (Social Commerce)

Marketplace

  • คือการนำสินค้าไปขายบนเว็บไซต์ตลาดสินค้าออนไลน์ ที่รวมร้านค้าหลายแห่งไว้ในที่เดียว ซึ่งเราสามารถไปเปิดร้านในนั้นได้

กรณีเป็นผู้ประกอบการรายย่อย

  • สามารถนำสินค้าไปลงขายได้บน Shopee, Lazada, PChome, Thaipostmart เป็นต้น โดยผู้ขายรายย่อยจะเป็นผู้ติดต่อ จัดส่งสินค้าให้กับลูกค้าโดยตรงทำไมต้องทำ อีคอมเมิร์ซ E-Commerce?​ 13
 กรณีเป็นเจ้าของแบรนด์เอง 
  • สามารถนำสินค้าไปลงขายได้บน LazMall, Shopee Mall, JD Central, WeMall ฯลฯ โดยเรา(แบรนด์)จะเป็นผู้ติดต่อ และจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้าโดยตรง หรือจะเลือกฝากวางขายบนเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่รวมสินค้าหลาย ๆ แบรนด์มาไว้ด้วยกัน เช่น Robinson.com, Shopat24, TopValue ฯลฯ ก็ได้เช่นเดียวกัน

ทำไมต้องทำ อีคอมเมิร์ซ E-Commerce?​ 14

กรณีอยากนำสินค้าไปขายในต่างประเทศ (Cross Border)

  • สามารถนำสินค้าไปลงขายได้บน Alibaba, Taobao, Amazon, eBay เป็นต้น ซึ่งเรา(ร้านค้า) จะต้องเป็นผู้จัดสินค้าให้ลูกค้าเอง

ทำไมต้องทำ อีคอมเมิร์ซ E-Commerce?​ 15

Self-Site​

คือการทำร้านค้าออนไลน์ของตัวเอง ซึ่งไม่ต้องผ่าน Marketplace คนกลาง ดังนั้นจึงไม่มีการถูกหักค่าคอมมิสชั่นเมื่อเราขายได้

เปิดร้านค้าออนไลน์เองผ่าน Webstore Platform/Software 

  • เช่น LnwShop, BentoWeb, Tarad ฯลฯ

เปิดร้านค้าออนไลน์เอง ทำเว็บเอง ขายเอง

  • เช่น lionshoponline.com, Sabina.co.th, Jib.com,    ฯลฯ

อีคอมเมิร์ซ

Social Commerce

คือ การขายออนไลน์ผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram, หรือ Line@ เป็นต้น ซึ่งปัจจุบัน Social Media หลายตัวได้เพิ่มฟังก์ชั่นสำหรับการขายสินค้า ทำให้ง่ายต่อการวางขายมากขึ้น ตัวอย่าง ฟังก์ชั่น Marketplace ในเฟซบุ๊ก เป็นต้น

อีคอมเมิร์ซ

ทำอย่างไร?

กลยุทธ์การทำ E-Commerce เพื่อพิชิตใจลูกค้า

ทำคอนเทนต์ให้โดดเด่นกว่าคนอื่น

ทำไมสินค้าชนิดเดียวกันแต่ลูกค้าให้ความสนใจไม่เท่ากัน? แน่นอนว่าส่วนหนึ่งมาจากการใช้กลยุทธ์ 4P (สร้างจุดเด่นของ Product , เสนอ Price ที่ล่อใจ , ขายใน Place ที่ถูกต้อง และ จัด Promotion ชวนซื้อ) แต่ก็อย่าลืมว่าสิ่งเหล่านี้ “ใคร ๆ ก็ใช้กัน” ดังนั้นเราจึงต้องหาสิ่งที่สามารถสร้างความแตกต่าง และช่วยดึงคนให้เข้ามาหาสินค้าของเรา สิ่งนั้นก็คือ Content (คอนเทนต์) ทั้งที่เป็น โพสต์ บทความ รูปภาพ วิดีโอ หรือการไลฟ์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย

Content is King​

— Bill Gates
แล้วในทำนองเดียวกัน สมัยนี้ใครก็เป็น Content Creator ได้ ดังนั้นคอนเทนต์ที่เราทำจำเป็นต้องใส่ความคิดสร้างสรรค์ เพื่อสร้างความแตกต่าง และความน่าสนใจให้เหนือกว่าคู่แข่ง แต่ที่สำคัญที่สุดคือจะต้อง ปล่อยมันออกไปให้ถูกคน ถูกที่ และถูกเวลา

ทำเว็บไซต์พิชิตใจ Google ให้ช่วยหาลูกค้า ด้วย SEO​

Google Search อาจจะเป็นช่องทางที่ทำให้ลูกค้าเข้ามาเจอคุณ แต่ทำไมพิมพ์ค้นหาสินค้าของเราในกูเกิ้ลไม่เจอ หรือไปอยู่หน้าท้าย? ปัญหานี้จะแก้ได้ด้วยการใช้สิ่งที่เรียกว่า Search Engine Optimization : SEO มาพิชิตใจ ให้ Google.com ชอบเว็บไซต์ขายของออนไลน์ของคุณ จนนำไปแสดงผลการค้นหาในอันดับต้นๆ จาก คำค้นที่เราต้องการ (Target Keyword) 

ตัวอย่างการทำ SEO​

  • การทำคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ และเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน (ผู้ชม)
  • การเพิ่มคำค้นหา Keyword ที่ต้องการในคอนเทนต์ของคุณ
  • การปรับโครงสร้างเว็บไซต์ ปรับหน้า Page ให้ Google ชอบ เช่น ปรับการแสดงผลให้เหมาะสมตามอุปกรณ์, เพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บ ฯลฯ
  • จัดการ Internal, External Link บนเว็บไซต์ เป็นต้น

ใช้ Influencer มาช่วยดึงคน​

หลายคนเริ่ม Content ของตนเอง ผ่านทาง Web blog, Facebook , Instagram, Youtube , Switch ฯลฯ เมื่อผู้ผลิตคอนเทนต์เหล่านั้นเริ่มมีชื่อเสียง มีผู้ติดตามเพิ่มขึ้น ก็จะกลายเป็น Influencer

โดยเราจะใช้ Influencer เป็นคนช่วยโฆษณาโปรโมทสินค้าให้ ซึ่งกลยุทธ์นี้มีข้อดีตรงที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายและตรงกว่าการทำโฆษณาแบบทั่วไปที่เน้นจำนวนการเข้าถึงมากๆ เพราะอินฟลูเอนเซอร์แต่ละคนต่างก็มีฐานแฟนคลับที่มีความสนใจในเรื่องที่คล้ายกัน

อาจจะเริ่มต้นจาก Nano-Influencer ที่มีผู้ติดตาม 1,000 คนขึ้นไป Micro-Influencer ที่มีผู้ติดตามมากกว่า 10,000 คน หรือ Macro-Influencer ที่ผู้ติดตามมากกว่า 100,000 คนเป็นต้น

มองหาพันธมิตร หรือใช้ Affiliate ช่วยดันยอด​

ถ้าดันยอดด้วยตัวเองหลายช่องทางแล้วไม่ขึ้นสักที ลองหา พันธมิตร (Partner) มาช่วยขาย หรือใช้การฝาก “ลิงก์สินค้า” หรือ “ลิงก์เว็บไซต์” ของเราไว้บนเว็บไซต์ของผู้อื่นที่เรียกว่า การทำ Affiliate เพื่อช่วยดันคนเข้าสู่หน้าเว็บ (Traffic) ของเรา นำไปสู่การขายของได้มากขึ้น ซึ่งกลยุทธ์นี้จะเห็นผลเป็นอย่างมากเมื่อทำร่วมกับ Website Affiliate ที่มีการจัดการ SEO อย่างเหมาะสม และมีจำนวน Visit ต่อเดือนหลักล้านเป็นต้นไป

สร้างความประทับใจ และทำ CRM​

หาลูกใหม่ที่ว่ายากแล้ว การรักษาลูกค้าปัจจุบัน รวมไปถึงการเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นลูกค้าประจำนั้นยากยิ่งกว่า ซึ่งสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อลูกค้า รู้สึกประทับใจ (Impression) ในสินค้าและบริการของเรา

ในแง่ของสินค้า : สินค้าจะต้องมีสเปคการใช้งานตรงตาม (Product Description) ที่เราแจ้งลูกค้าไว้ และต้องทำแพ็กสินค้าให้ดูน่าเชื่อถือ

การตอบแชทลูกค้าที่รวดเร็ว การจัดส่งที่รวดเร็ว การโดยอาจจะนำระบบ Chatbot เข้ามาช่วย เป็นต้น

You never get a second chance to make a first impression

— Madison Avenue

ให้ Priceza ช่วยคุณทำ E-Commerce

ช่วยเพิ่ม ยอดขาย

ช่วยเพิ่ม ยอดขาย (Sale Conversion) ขยายโอกาสในการทำธุรกิจบนช่องทางออนไลน์ เพิ่มทราฟิกไปยังเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซของคุณ ด้วยช่องทางที่มีประสิทธิภาพของเรา อาทิ เว็บไซต์ Priceza.com ที่มีผู้เข้ามาใช้งานมากว่า 2 ล้านครั้งต่อเดือน และแอปพลิเคชัน Priceza ที่มีจำนวนการดาวน์โหลดมากกว่า 1 ล้านครั้ง

ช่วยวางแผนการตลาด

ช่วยวางแผนการตลาด - แผนโฆษณา , ผลิตสื่อโฆษณาทั้งในรูปแบบ บทความ โพสต์ วิดีโอ เพื่อเพิ่ม ยอดขาย (Sale Conversion)

โอกาสในการเห็นสินค้า

ช่วยเพิ่ม โอกาสในการเห็นสินค้า (EyeBall) ของคุณในการรับรู้ของแบรนด์ (Brand Awareness) ผ่าน Social Media ของ Priceza ที่มี Follower มากกว่า 1 ล้านคน

ช่วยโปรโมทสินค้าของคุณ

ช่วยโปรโมทสินค้าของคุณบนช่องทางที่มีประสิทธิภาพของเรา อาทิ Priceza Application ที่มีจำนวนการดาวน์โหลดรวมมากกว่า 500,000 ครั้ง และ Social Media ของเราที่มี Follower มากกว่า 1 ล้านคน

เริ่มทำ E-Commerce กับ Priceza

บอกเราหน่อยว่าคุณคือใคร และอยากให้เราช่วยอะไรคุณบ้าง เพื่อให้เราได้เตรียมแผนการบริการที่เหมาะสมเพื่อธุรกิจของคุณ

Fill out my online form.

ต้องการสร้างยอดขายเพิ่ม

เริ่มต้นได้ง่ายๆ ด้วยการคุยกับทีมงาน Priceza เพื่อวางแผนในการกระตุ้นยอดขาย

ทำไมต้องทำ อีคอมเมิร์ซ E-Commerce?​ 16