หน้าแรก กล้อง กล้องวงจรปิด ควรใช้ Bandwidth เท่าไหร่

กล้องวงจรปิด ควรใช้ Bandwidth เท่าไหร่

5644
กล้องวงจรปิดใช้-bandwidth-เท่าไหร่

กล้องวงจรปิด นอกจากจะหาซื้อได้ง่ายในสมัยนี้แล้วยังสามารถติดตั้งเองได้ด้วย หลายคนจึงสั่งซื้อจากเว็บออนไลน์มาติดตั้งเองที่บ้าน เพราะมีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยากและใช้อุปกรณ์เพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น เพียงแต่ต้องคำนวนค่า Bandwidth ให้ถูกต้องและเหมาะสม สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่า Bandwidth คืออะไร และควรใช้เท่าไหร่ดี วันนี้เราจะพาไปหาคำตอบพร้อม ๆ กันว่า Bandwidth สำคัญอย่างไร ทำไมถึงต้องใส่ใจ

Bandwidth คืออะไร และควรใช้ Bandwidth เท่าไหร่ดี

Bandwidth คือ ตัววัดความเร็วในการส่งข้อมูลของระบบอินเทอร์เน็ต มีหน่วยวัดเป็น bps โดยจะเพิ่มค่าขึ้นตามความละเอียดของการเข้ารหัส โดยใช้ความกว้างของคลื่นความถี่ในการเข้าถึงข้อมูลหน่วยความจำ หมายถึง หากค่าการเข้ารหัสเพิ่มขึ้น Bandwidth ก็จะเพิ่มขึ้นด้วย โดยค่าการเข้ารหัสขึ้นอยู่กับความละเอียดของกล้อง CCTV ที่ใช้ มีตั้งแต่ความละเอียดระดับ CIF (352 x 288 pixels) ไปจนถึงระดับ 4K (3840 x 2160 pixels)
โดยทั่วไปแล้ว ความละเอียด 1 ล้านพิกเซลจะใช้ค่า Bandwidth 2 mbps หรือประมาณ 21.6 GBytes ต่อวัน และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามค่าความละเอียด เช่น

  1. Bandwidth 350 kbps สำหรับกล้องที่มีความละเอียดระดับ CIF (352 x 288) pixels) HDD ต่อวันอยู่ที่ 03.7 GBytes ใช้ได้ประมาณ 283 วัน
  2. Bandwidth 1 Mbps สำหรับกล้องที่มีความละเอียดระดับ D1 (704 x 576 pixels) HDD ต่อวันอยู่ที่ 10.8 GBytes ใช้ได้ประมาณ 97 วัน
  3. Bandwidth 1.5 Mbps ความละเอียดระดับ 960H (928 x 576 pixels) HDD ต่อวันอยู่ที่ 16.4 GBytes ใช้ได้ประมาณ 64 วัน
  4. Bandwidth 2 Mbps ความละเอียดระดับ 720p (1M pixel) HDD ต่อวันอยู่ที่ 21.6 GBytes ใช้ได้ประมาณ 48 วันใน HDD 1 TB ฯลฯ

กล้องวงจรปิด-bandwidth1

เทคนิคการเลือกกล้องวงจรปิด

เลือกยี่ห้อที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน

แม้จะมีกล้อง CCTVผลิตออกมาให้เลือกมากแต่ก็ต้องไม่ลืมเรื่องคุณภาพและมาตรฐาน เพราะเป็นปัจจัยที่สำคัญในการใช้งาน โดยคุณภาพนั้นสามารถบ่งบอกได้ถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการใช้งาน

เลือกรุ่นที่มีความละเอียดสูง

กล้อง CCTV สมัยนี้พัฒนาไปไกลถึงในระดับ 4K ที่ช่วยให้ภาพจากกล้องชัดมากขึ้นถึง 4 เท่า สามารถเก็บรายละเอียดต่าง ๆ ของภาพได้มากขึ้น ให้มุมมองที่กว้างขึ้น และสามารถซูมได้โดยภาพไม่แตก ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกลแค่ไหนก็ตาม

เลือกรูปทรงที่เหมาะกับการติดตั้งในแต่ละพื้นที่

กล้อง CCTV มีหลายประเภท โดยแบ่งออกเป็น 4 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่

  1. กล้อง CCTV แบบอินฟาเรด นิยมติดตั้งนอกอาคาร มีความทนทานสูง กันน้ำได้ และทนต่อสภาพอากาศ เป็นชนิดที่เราเห็นกันได้บ่อยตามอาคารบ้านเรือนหรือสถานที่ต่าง ๆ เช่น ลานจอดรถ ทางเข้า ทางออก โรงแรม ฯลฯ
  2. กล้อง CCTV แบบโดม เป็นชนิดที่นิยมใช้ติดตั้งในอาคาร เพราะสามารถหมุนได้ 360 องศา มีลักษณะเหมือนโดม ติดตั้งไว้บนเพดาน
  3. กล้อง CCTV Speed Dome Camera เป็นชนิดที่พัฒนาให้มีความสามารถมากขึ้น ซึ่งนอกจะหมุนได้รอบทิศทางแล้วยังสามารถซูมเข้า – ซูมออก หรือปรับมุมก้มมุมเงยได้ด้วยการควบคุมผ่านคีย์บอร์ดควบคุม สามารถติดตั้งได้ทั้งในและนอกสถานที่ มีความทนทานสูง กันน้ำ กันฝนได้ นอกจากนี้ยังเป็นชนิดที่นิยมมาใช้ถ่ายเรียลลิตี้หรือใช้ถ่ายรายการด้วย
  4. กล้อง CCTV แบบ Hidden Camera หรือกล้องรูเข็ม เป็นกล้องที่มีขนาดเล็กมาก เป็นกล้องที่ใช้ซ่อนไว้ตามอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เห็นว่ามีกล้องอยู่

กล้องวงจรปิด-bandwidth

เลือกรุ่นที่ฮาร์ดดิสมีความทนทานสูง

ควรเลือกฮาร์ดดิสที่รองรับการทำงานตลอด 24 ชั่วโมง เพราะมีความทนทานมากกว่า สามารถทนต่อความร้อน น้ำ ฝน และการทำงานติดต่อกันเป็นเวลานานได้

เลือกยี่ห้อที่มีระบบความปลอดภัยสูง

ควรเลือกยี่ห้อที่มีระบบความปลอดภัยสูงและคอนเฟิร์มเรื่องระบบความปลอดภัย เพื่อป้องกันการโดนแฮกกล้อง CCTV จากเหล่าแฮกเกอร์

เลือกชนิดที่เหมาะกับพื้นที่ติดตั้ง

เพราะกล้องแต่ละชนิดรองรับการทำงานที่ไม่เหมือนกัน ก่อนติดตั้งจึงควรตรวจดูให้แน่ใจก่อนว่ากล้องที่ติดตั้งเหมาะสำหรับพื้นที่นั้นหรือไม่ เช่น การติดตั้งไว้นอกอาคาร ควรเลือกกล้อง CCTV แบบอินฟาเรดหรือแบบ Speed Dome Camera เพราะกันน้ำกันฝนได้

กล้อง CCTV สมัยนี้ติดตั้งง่ายไม่ยุ่งยาก หากใครที่ต้องการติดตั้งก็อย่าลืมเลือกกล้อง CCTV ที่มีคุณภาพและตรงกับการใช้งานเพื่อประโยชน์การใช้งานอย่างคุ้มค่าและการใช้งานอย่างปลอดภัย