
แอร์หรือเครื่องปรับอากาศเป็นสิ่งที่แทบจะขาดไม่ได้ในฤดูร้อนอันแสนสาหัสของเมืองไทย ความร้อนที่เราต้องผจญอยู่สามารถก่อให้เกิดภาวะความเครียด ความเจ็บป่วย และอุบัติเหตุที่คาดไม่ถึงได้ โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัวหากต้องเจอความร้อนสูงอาจเกิดอาการหน้ามืด เป็นลม หรือที่เรียกว่า Heat Stroke ด้วยเหตุนี้เครื่องปรับอากาศจึงเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งเพื่อรับมือกับฤดูอันหฤโหดนี้อย่างแท้จริง แต่สิ่งหนึ่งที่มาพร้อม
เรื่องควรรู้หากคิดจะติดตั้งเครื่องปรับอากาศ
การติดตั้งแอร์ในส่วนต่าง ๆ ของบ้านนอกจากคุณสมบัติและราคาแล้ว สิ่งที่เราควรคำนึงคือกำลังของเครื่องปรับอากาศที่เหมาะสมกับขนาดของแต่ละพื้นที่ที่ต่างกันของบ้าน ฉะนั้นจึงไม่ควรละเลยข้อมูลต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
สูตรการคำนวณ BTU แอร์
กำลังของเครื่องปรับอากาศนั้นไม่มีอะไรซับซ้อน เพียงใช้ขนาดพื้นที่กว้างและยาวมาคำนวณร่วมกัน ได้ผลออกมาเป็นตารางเมตร จากนั้นนำเอาจำนวนตารางเมตรมาคูณกับค่าความแตกต่าง ซึ่งค่าแตกต่างเป็นชุดตัวเลขสำเร็จที่กำหนดมาดังนี้
- 600-700 คือค่าความแตกต่างสำหรับห้องที่ไม่โดนแดดเลย หรือเป็นห้องที่มีความร้อนสะสมน้อยจนถึงปานกลาง อาจเป็นห้องนอนที่มีการใช้งานเครื่องปรับอากาศในเวลากลางคืนเท่านั้น
- 700-800 คือค่าความแตกต่างสำหรับห้องที่โดนแสงแดดส่องบ้าง และมีความร้อนสะสมปานกลางจนเกือบสูง เช่น ห้องทำงาน หรือเป็นห้องที่คลายความร้อนปานกลางในเวลากลางคืน
- 900 คือค่าความแตกต่างของห้องที่ถูกแสงแดดแทบจะตลอดเวลา และมีความร้อนสะสมสูงไปจนถึงสูงมาก ๆ ค่าความแตกต่างนี้แปรผันกับความร้อนที่สร้างผลกระทบรวมทั้งวัสดุที่ใช้ก่อสร้าง องศาของห้องที่โดนแดด ความร้อนสะสมในจุดที่ต่างกัน รวมทั้งจุดติดตั้งและจำนวนเครื่องปรับอากาศที่ต้องใช้ด้วย ซึ่งหากต้องการติดตั้งเครื่องปรับอากาศในห้องที่มีความร้อนสะสมสูง การคำนวณด้วยตัวเองอาจเกิดการคลาดเคลื่อน ดังนั้นจึงควรใช้บริการของช่างชำนาญการจะเหมาะสมกว่า
โดยสูตรในการคำนวณคือ [กว้าง x ยาว] x ค่าความแตกต่าง = ?
ยกตัวอย่างการคำนวณสำหรับห้องนอนที่ไม่โดนแดด ขนาดความกว้าง 3 เมตร ความยาว 3 เมตรก็จะเป็นดังนี้ [3×3]x700 = 6,300
ซึ่งในท้องตลาดไม่มีเครื่องปรับอากาศ 6,300 BTU เราจึงต้องใช้เครื่องปรับอากาศขนาด 7,000 BTU อย่างนี้เป็นต้น สูตรการคำนวณนี้เป็นสูตรสำหรับห้องที่มีเพดานความสูงมาตรฐานไม่เกินสามเมตร ถ้าหากเป็นห้องที่มีเพดานสูงกว่ามาตรฐานเราต้องนำค่าความสูงเข้ามาคำนวณร่วมด้วย เช่นห้องที่โดนแดดเล็กน้อยมีขนาด ความกว้าง 3 เมตรความยาว 3 เมตรและมีความสูงจากพื้นถึงเพดานอยู่ที่ 3.2 เมตร ก็จะเป็น…
[3×3]x3.2 = 27 นำค่าที่ได้มาคูณกับค่าความแตกต่างก็จะเป็น 27×600 = 16,200 ขนาดของเครื่องปรับอากาศที่มีจำหน่ายในท้องตลาดซึ่งใกล้เคียงกับผลการคำนวณที่ได้ของห้องนี้คือ 16,500 BTU สำหรับผลการคำนวณเมื่อออกมาเป็นตัวเลขใด ๆ ก็ตามสามารถปัดเศษขึ้นและลงได้ไม่เกิน 1,000 BTU จึงจะถือว่าพอดีกับพื้นที่นั้น ๆ
ขนาด BTU แอร์สำคัญขนาดไหน
หลายคนมีความเชื่อว่า BTU น้อย ๆ ประหยัดไฟกว่า หรือ BTU สูง ๆ เย็นสบายกว่าเยอะ คนสองกลุ่มนี้จึงแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ คือ เลือกซื้อเครื่องปรับอากาศราคาถูกหรือราคาแพงไปเลย ซึ่งต้องบอกเลยว่าเป็นความเชื่อที่ผิดและอันตรายมาก ๆ สำหรับพื้นที่ไม่สัมพันธ์กับขนาดของเครื่องปรับอากาศ เช่น พื้นที่ใหญ่แต่ใช้ BTU ต่ำ ๆ จะทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานหนักตลอดเวลา เกิดอาการเครื่องปรับอากาศไม่ตัดทำให้สิ้นเปลืองพลังงานมาก แถมยังเสี่ยงกับการเกิดไฟฟ้าลัดวงจรและความเสียหายของอุปกรณ์ด้วย ส่วนห้องขนาดไม่ใหญ่มากแต่ใช้เครื่องปรับอากาศ BTU สูงเกินความจำเป็น จะทำให้ภายในห้องมีความชื้นสูง ผู้อยู่อาศัยจะรู้สึกไม่สบายตัว ทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย ส่งผลให้มีอาการป่วยเป็นไข้หวัดไปจนถึงมีอาการปอดบวมได้ ด้วยข้อเสียเหล่านี้จึงขอแนะนำให้เลือกติดตั้งให้เหมาะสมกับขนาดพื้นที่เท่านั้น จะได้ไม่เป็นการก่อให้เกิดปัญหาใด ๆ ในระยะยาว
บทส่งท้าย
แอร์ไม่ใช่แค่ทำให้เย็นได้ก็พอ เพราะสัมพันธ์กับความเป็นอยู่และความปลอดภัยของเราด้วย เราจึงควรมีความรู้เกี่ยวกับเครื่องใช้ชนิดนี้ไว้บ้าง และการมีความรู้เบื้องต้นในการคำนวณขนาด BTU ที่เหมาะสม ไม่ได้หมายถึงเราไม่ต้องอาศัยหรือพึ่งพาช่างอีกต่อไป แต่มันเป็นความรู้เพื่อให้เราคำนวณค่าใช้จ่ายเบื้องต้นล่วงหน้าได้ หากต้องการเปลี่ยนหรือติดตั้งในพื้นที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของบ้านนั่นเอง