
หนึ่งในเครื่องใช้ไฟฟ้าที่หลายบ้านจะต้องมี และได้รับความนิยมอย่างมากเพราะหน้าร้อนในประเทศไทยนั้นร้อนจนจำเป็นอย่างมากที่จะมีแอร์โดย “เครื่องปรับอากาศติดผนังที่หลายคนจะชินปากเรียกว่า “แอร์บ้าน” ด้วยขนาด BTU ที่หลากหลายทำให้แอร์ติดผนังเป็นตัวเลือกแรก ๆ แต่ครั้นจะติดแอร์ทั้งที มันก็มีเรื่องขององค์ประกอบมากมายเข้ามาให้เราต้องคิดหนัก ทั้งแอร์ยี่ห้อไหนดีประหยัดไฟ แอร์รุ่นอะไรถึงจะคุ้ม แอร์แบบไหนถึงจะตอบโจทย์ความเย็น ซึ่งวันนี้เราจะมาจัดอันดับยี่ห้อแอร์กันเอง ว่าแบบไหนคุ้มค่าและน่าหาซื้อมาใช้งานมากที่สุด แอร์มีหลากหลายแบบไม่ว่าจะเป็น แอร์ 9000 BTU, แอร์ 12,000 BTU , แอร์ 18,000 BTU , แอร์ 24,000 และ แอร์อินเวอร์เตอร์โดยแอร์ขนาด 12,000 BTU เป็นหนึ่งขนาดของแอร์ที่เหมาะกับการติดตั้งในห้องที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก เหมาะสำหรับห้องขนาด 16 – 19 ตร.ม. ไม่ว่าจะเป็นห้องทำงาน ห้องนอน หรือห้องอื่น ๆ เป็นต้น
แอร์มีกี่ประเภท? เครื่องปรับอากาศแต่ละแบบต่างกันอย่างไร
- แอร์แบบติดผนัง : แอร์แบบติดผนัง เป็นแอร์ที่มีความนิยมมากที่สุด มีราคาไม่สูง ไม่เปลืองพื้นที่ ตัวแอร์ติดตั้งง่าย สามารถทำความสะอาด และแอร์ประเภทนี้จะเหมาะกับห้องที่ไม่ใหญ่มาก เช่น ห้องนอน ห้องรับแขก หรือห้องทำงานที่ขนาดไม่ใหญ่จนเกินไป
- แอร์แบบตั้งพื้น : แอร์แบบตั้งพื้นนั้นเหมาะกับห้องที่มีขนาดใหญ่ เพราะตัวเครื่องสามารถกระจายความเย็นได้ดี และเร็วคล้ายกับแอร์แขวน แต่มีลักษณะที่พิเศษกว่าคือสามารถเคลื่อนย้ายตำแหน่งได้ ส่วนใหญ่จะใช้ในห้องประชุม หรือจัดเลี้ยงเพราะห้องที่มีแคบจะทำให้ห้องดูเล็ก และแอร์นั้นจะเกะกะ
- แอร์แบบฝัง : แอร์แบบฝังนั้นเป็นแอร์ที่มักจะเห็นได้ตามโรงแรม เพราะสามารถทำความเย็นได้ดี สามารถประหยัดพื้นทีเพราะฝังไว้จะทำให้ไม่เห็นตัวเครื่อง แต่การติดตั้งต้องใช้ช่างที่มีความชำนาญ
- แอร์แบบหน้าต่าง : แอร์แบบหน้าต่างนั้นพบเห็นได้ยากในปัจจุบัน เพราะจะมีลักษณะเป็นตู้สี่เหลี่ยม โดยไม่มีคอมเพรสเซอร์ และใช้ติดตั้งในพื้นที่จำกัดได้ดี แต่จะสามารถปรับอุณหภูมิ และกระจายความเย็นไม่ดี และจะมีเสียงดังขณะใช้งาน
BTU แอร์สำคัญไหม ?
BTU ย่อมาจาก British Thermal Unit ชื่อเรียกของหน่วยที่ใช้วัดขนาดในการทำความเย็นของแอร์ โดยหลายคนอาจจะสงสัยว่า BTU สำคัญยังไง และทำไมหลายคนถึงให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก ๆ เมื่อติดแอร์ โดยขนาด BTU ต่างกันเพียง 1,000 – 2,000 ก็มผลต่อความเย็น โดยหากคุณซื้อแอร์ที่ BTU ขนาดเล็กกับห้องแอร์จะใช้พลังงานมากกว่าปกติทำให้ค่าไฟแพงขึ้น และหากเลือกแอร์ที่มีขนาด BTU ใหญ่กว่าห้องก็จะทำให้แอร์เย็นเร็วขึ้น แอร์จะตัดบ่อยขึ้น และทำให้ค่าไฟเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
วิธีเลือกขนาด BTU แอร์ให้เหมาะสมกับพื้นที่ห้อง
เพื่อให้ทุกคนได้ขนาด BTU ที่ตรงกับขนาดข้องห้องวันนี้เรามีสูตรคำนวน BTU แอร์มาให้ทุกคนแล้ว โดยตัวแปรมีดังนี้
- 700 – 800 : เหมาะกับห้องที่ไม่ค่อยโดนแดด ความร้อนในห้องน้อย โดยห้องนี้เหมาะกับใช้แอร์แค่ตอนกลางคืน เช่น ห้องนอน ห้องอ่านหนังสือ
- 800 – 900 : เหมาะกับห้องที่ใช้แอร์ในช่วงกลางวันเป็นประจำ มีความร้อนปานกลาง-มาก เหมาะกับห้องรับแขก ห้องทำงาน ห้องทานข้าว
- 900 – 1000 : เหมาะกับห้องที่มีความร้อนมาก ห้องที่โดดแดดตลอดทั้งวัน และจำเป็นต้องเปิดใช้แอร์ตลอดทั้งวันหรือ เฉพาะช่วงกลางวัน เช่นห้องที่อยู่ชั้นบนสุด หน้าต่างเยอะ อย่างเช่นห้อง ฟิตเนส เป็นต้น
เมื่อได้ตัวเลขค่าตัวแปรมาแล้ว ก็นำมาคำนวณได้ดังนี้ พื้นที่ห้อง[กว้าง (เมตร) x ยาว (เมตร)] x ค่าตัวแปร แค่นี้ก็จะได้ขนาด BTU ที่เหมาะกับห้องของคุณแล้วค่ะ
การคำนวณค่าไฟแอร์
สำหรับการคำนวณอย่างแรกต้องรู้ก่อนว่าเป็นแอร์ประเภทไหน ระบบแอร์อินเวอร์เตอร์ (Inverter) หรือระบบแอร์รุ่นธรรมดา (Non-Inverter) หากเป็นระบบอินเวอร์เตอร์จะประหยัดกว่า โดยสูตรการคำนวณค่าไฟฟ้าของแอร์ต่อปี
แอร์อินเวอร์เตอร์
ค่าไฟต่อปีจะเท่ากับจำนวนชั่วโมงที่ใช้งานตลอดทั้งปี คูณ Cooling Capacity (btu/hr) หารด้วย ค่า SEER (btu/hr/w) คูณกับค่าไฟต่อหน่วย จากนั้นนำผลรวมทั้งหมดหารด้วย 1000 ก็จะได้ค่าไฟฟ้าต่อปีของแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์
ซึ่งค่า Cooling Capacity และค่า SEER หรือค่าประสิทธิภาพพลังงานตามฤดูกาลนั้น สามารถดูจากข้อมูลจำเพาะของสินค้าหรือสอบถามจากพนักงานผู้ขาย
ระบบแอร์รุ่นธรรมดา
ค่าไฟฟ้าจากการใช้งานแอร์ต่อปีจะคำนวณได้จากสูตร ค่าไฟต่อปีเท่ากับ จำนวนชั่วโมงการใช้งานตลอดทั้งปีคูณด้วย ค่ากำลังไฟฟ้า (วัตต์) คูณด้วยค่าไฟต่อหน่วย จากนั้นนำค่าทั้งหมดมาหารด้วย 1000 เท่านี้ก็จะได้ค่าไฟทั้งหมดตลอดทั้งปีของการใช้แอร์รุ่นธรรมดา
- แอร์ 9000 BTU เสียค่าไฟประมาณเดือนละ 433 บาท
- แอร์ 12000 BTU เสียค่าไฟประมาณเดือนละ 594 บาท
- แอร์ 18000 BTU เสียค่าไฟประมาณเดือนละ 733 บาท
โดยค่าไฟจะขยับสูงขั้นตามขนาด BTU ในขณะที่หากเป็นแอร์ติดผนังรุ่นธรรมดา ขนาด 9000 BTU จะเสียค่าไฟฟ้าเริ่มต้นประมาณเดือนละ 678 และขยับสูงขึ้นไปตามขนาด BTU ของแอร์เช่นเดียวกัน
สูตรคำนวณค่าไฟแอร์
วันนี้เราจะมาสอนวิธีคำนวณค่าไฟแอร์ง่ายๆ กัน เป็นวิธีที่คำนวณไม่ยากเลยไปดูวิธีคำนวณกันเลยดีกว่า!
- ค่าBTU / ค่า SEER / 1000 x ชั่วโมงการใช้งาน x จำนวนวันใช้งาน x ค่าไฟฟ้าต่อหน่วย
ตัวอย่าง X-Inverter : 42TVAA013 / 38TVAA013
ขนาดแอร์ 12,200 BTU /ค่า SEER 22.50 / 1000 x 8 ชั่วโมงต่อวัน x 365 วัน x ค่าไฟฟ้า 3.96 บาท/หน่วย
ค่าไฟฟ้าต่อปี = 6,270 บาท
ขนาดแอร์ | ค่าไฟฟ้าต่อปี (ใช้แอร์ 8 ชั่วโมงต่อวัน) |
9000 BTU | 4625.28 |
12000 BTU | 6270 |
18000 BTU | 9250 |
24000 BTU | 12334 |
การใช้สูตรคำนวณนี้ก็จะได้รู้ค่าไฟแอร์แบบคร่าวๆ โดยหน่วยค่าไฟนั้นสามารถเปลี่ยนไปตามอัตราค่าไฟของการไฟฟ้าด้วย การคำนวณค่าไฟของแอร์แต่ละเครื่องนั้น จะถูกทำการคำนวณจากการเปิดแอร์ 8 ชม.ต่อวัน แต่สูตรนี้ยังไม่คำนวนรวมกับสภาพของแอร์ หากเป็นแอร์ที่ใช้งานมานานมากแล้ว อัตราการกินไฟอาจจะสูงกว่านี้เล็กน้อย ดังนั้นอย่าลืมหมั่นตรวจดูสภาพแอร์อยู่เสมอ แอร์จะได้มีอายุการใช้งานและได้ประสิทธิภาพที่ดีอีกด้วย
แอร์ยี่ห้อไหนดี? เครื่องปรับอากาศขนาด 12000 BTU ที่ช่วยประหยัดค่าไฟ 2024
สินค้าที่เราแนะนำ เราคัดเลือกจากอะไร?
- เทรนด์สินค้าที่ผู้คนให้ความสนใจในช่วงเวลานั้นๆ
- สินค้าแนะนำจากแบรนด์ดัง
- ภาพรวมการประเมินสินค้าของลูกค้าผู้ใช้จริง
นอกจากนี้เรายังรวบรวมช่องทางการสั่งซื้อ และร้านค้าที่มีความน่าเชื่อถือเป็นหลัก ทั้งยังมีการรับประกันสินค้า และการรับรองผ่านเงื่อนไขของอีคอมเมิร์ซแพลตฟอร์ม
บทส่งท้าย
และนี่ก็คือ 10 แอร์ยี่ห้อไหนดี ขนาด 12000 BTU นี่เรานำมาบอกต่อกัน ซึ่งเครื่องปรับอากาศนั้นก็เป็นหนึ่งในเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีราคาค่อนข้างสูง แต่หากมัวใส่ใจราคาสินค้ามากเกินไป ก็อาจทำให้พลาดเกี่ยวกับฟังก์ชั่นหรือเทคโนโลยีต่างๆ ของแอร์ จนทำให้เกิดค่าเสียหายอื่นๆ บานปลายขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเทคโนโลยีช่วยประหยัดไฟอย่าง แอร์ที่มีระบบอินเวอร์เตอร์ ซึ่งมีส่วนช่วยในการลดค่าไฟลงได้ถึง 30% ดังนั้นการจะเลือกซื้อแอร์ในแต่ละรุ่น เราควรให้ความสำคัญกับฟังก์ชั่นและเทคโนโลยี รวมถึงความเหมาะสมกับขนาดห้องที่เราจะนำไปติดตั้งด้วย และอย่าลืมสอบถามบริการหลังการขายจากทางร้านทุกครั้งก่อนตัดสินใจซื้อกันด้วยนะคะ