
เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า Apple มีกำหนดจะวางขาย iPhone 12 ในไทยอย่างเป็นทางการในวันที่ 27 พฤศจิกายน ที่จะถึงนี้ โดยจะวางขายพร้อมเพรียงทั้ง 4 รุ่น ได้แก่ iPhone 12 mini , iPhone 12 , iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max ซึ่งสาวก iPhone หลายคนคงน่าจะกำเงินและบัตรเครดิตเตรียมพร้อมสำหรับภารกิจสอยเจ้า iPhone 12 ใหม่ แกะกล่องมาครอบครองให้ได้ตั้งแต่วันแรก ๆ ที่วางขาย แต่ถึงอย่างนั้น ก็มีอีกหลายคนที่ยังเลือกไม่ถูกว่าจะเลือกซื้อรุ่นไหนดี เพราะมีให้เลือกถึง 4 รุ่น 3 ขนาด ดังนั้น วันนี้เราจะช่วยให้สาวก iPhone เลือก iPhone 12 ใหม่ ได้ง่ายขึ้น โดยเปรียบเทียบฟีเจอร์และสเปกของทั้ง 4 รุ่นให้ได้รู้กัน
iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่น มีสเปกและฟีเจอร์อะไรที่น่าสนใจบ้าง?
iPhone 12 ทุกรุ่นจะมาพร้อมกับหน้าจอ OLED (Super Retina) ที่ครอบทับด้วยกระจกแข็งชนิดพิเศษแบบ “Ceramic Shield” ที่ทาง Apple พัฒนาให้มีแข็งแรงทนทานกว่าหน้าจอของ iPhone รุ่นเก่าถึง 4 เท่า ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ iOS14 รันบนชิปประมวลผล A14 Bionic ที่ใช้สถาปัตยกรรมขนาด 5nm นอกจากนี้ ทุกรุ่นยังรองรับการใช้งาน 5G เหมือนกัน แถมยังรองรับมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP68 อีกด้วย อย่างไรก็ตาม iPhone 12 ใหม่ ทั้ง 4 รุ่นก็มีรายละเอียดบางอย่างที่แตกต่างกันไปในแต่ละรุ่น ส่วนจะมีอะไรบ้าง ไปติดตามกันเลย
iPhone 12 mini
iPhone 12 รุ่นนี้ถือเป็นน้องเล็กสุดในซีรีส์ มาพร้อมหน้าจอ OLED ขนาด 5.4 นิ้วแบบ ความละเอียด 2340 x 1080 พิกเซล หน่วยความจำภายใน RAM ขนาด 4GB และ ROM มีให้เลือกทั้งรุ่น 64GB, 128GB และ 256GB ติดตั้งกล้องหลังแบบเลนส์คู่ (Dual Camera) ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ที่ประกอบด้วย “เลนส์ไวด์” พร้อมรูรับแสง f/1.6 และ “เลนส์อัลตร้าไวด์” รูรับแสง f/2.4 มุมมองถึง 120 องศา ส่วนกล้องหน้า TrueDepth มีความละเอียดเท่ากันที่ 12 ล้านพิกเซล ใช้แบตเตอรี่ขนาด 2227 mAh โดยฟีเจอร์ใหม่ที่จะมากับตัว iPhone 12 mini แทบจะเหมือนกับรุ่น iPhone 12 ทุกประการ ทั้ง Smart HDR 3 ที่รองรับการถ่ายภาพ Night Mode และ Deep Fusion ในทุกเลนส์ หรือโหมดการถ่ายวิดีโอ 4K HDR แบบ Dolby Vision ที่ 30 fps รวมถึงฟีเจอร์ใหม่ที่ติดตั้งมาใน iPhone 12 ทุกรุ่นอย่าง MagSafe ที่เป็นการชาร์จไฟผ่านระบบแม่เหล็กด้านหลังตัวเครื่องอีกด้วย
iPhone 12
iPhone 12 รุ่นมาตรฐานที่มาพร้อมหน้าจอ OLED ขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด 2532 x 1170 พิกเซล หน่วยความจำภายใน RAM ขนาด 4GB และ ROM มีให้เลือกทั้งรุ่น 64GB, 128GB และ 256GB ติดตั้งกล้องหลังแบบเลนส์คู่ (Dual Camera) ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ที่ประกอบด้วย “เลนส์ไวด์” พร้อมรูรับแสง f/1.6 และ “เลนส์อัลตร้าไวด์” รูรับแสง f/2.4 มุมมองถึง 120 องศา ส่วนกล้องหน้า TrueDepth มีความละเอียดเท่ากันที่ 12 ล้านพิกเซล ใช้แบตเตอรี่ขนาด 2851 mAh โดยมีฟีเจอร์ใหม่ ๆ อย่าง Smart HDR 3 ที่รองรับการถ่ายภาพ Night Mode และ Deep Fusion ในทุกเลนส์ หรือโหมดการถ่ายวิดีโอ 4K HDR แบบ Dolby Vision ที่ 30 fps เรียกได้ว่าสเปกและฟีเจอร์แทบทุกอย่างล้วนเหมือนกันกับรุ่น iPhone 12 mini เลยก็ว่าได้
iPhone 12 Pro
iPhone 12 รุ่นอัปเกรดที่แม้จะใช้หน้าจอ OLED ขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด 2532 x 1170 พิกเซล และแบตเตอรี่ขนาด 2851 mAh เหมือนกับรุ่น iPhone 12 แต่ฮาร์ดแวร์ทั้งภายในและภายนอกได้รับการอัปเกรดขึ้นอีกขั้น โดยเปลี่ยนมาใช้ RAM ขนาด 6GB เช่นเดียวกับ ROM ที่มีให้เลือกระหว่างรุ่น 128GB, 256GB และ 512GB ติดตั้งกล้องหลังแบบ 3 เลนส์ ประกอบด้วย เลนส์ไวด์, เลนส์อัลตร้าไวด์ และ เทเล โฟโต้ พร้อม LiDAR Scanner สามารถบันทึกวิดีโอ Dolby Vision HDR 4K ได้ที่ 60fps ซึ่งเหนือกว่าในสองรุ่นแรกที่บันทึกได้เพียงแค่ 30fps
iPhone 12 Pro Max
iPhone 12 รุ่นใหญ่สุดของซีรีส์ โดยเพิ่มขนาดหน้าจอ OLED เป็นขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด 2778 x 1824 พิกเซล รวมถึงแบตเตอรี่ความจุถึง 3687 mAh แต่ในส่วนฮาร์ดแวร์ทั้งภายในและภายนอกแทบจะเหมือนกับ รุ่น iPhone 12 Pro เลยก็ว่าได้ ทั้ง RAM ขนาด 6GB เช่นเดียวกับ ROM ที่มีให้เลือกระหว่างรุ่น 128GB, 256GB และ 512GB ติดตั้งกล้องหลังแบบ 3 เลนส์ ประกอบด้วย เลนส์ไวด์, เลนส์อัลตร้าไวด์ และ เทเล โฟโต้ พร้อม LiDAR Scanner มีฟีเจอร์เด่นคือ สามารถบันทึกวิดีโอ Dolby Vision HDR 4K ได้ที่ 60fps รวมถึงฟีเจอร์อื่น ๆ ที่เป็นฟีเจอร์มาตรฐานใน iPhone 12 ใหม่ ทุกรุ่นอีกด้วย
จะเห็นได้ว่า สเปคโดยรวมของ iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่น เหมือนจะแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มมาตรฐาน ที่ประกอบด้วย iPhone 12 mini และ iPhone 12 กับ กลุ่มพิเศษ ที่มีพี่ใหญ่อย่าง iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max ดังนั้น ใครที่กำลังวางแผนจะซื้อ iPhone 12 ใหม่ ก็ควรพิจารณาถึงสไตล์การใช้งานของตัวเอง เช่น ใครที่ชอบเล่นมือถือทั้งวัน อาจจะต้องเลือกรุ่นที่แบตอึดมากที่สุด ส่วนใครที่มือค่อนข้างเล็กหรือเป็นสุภาพสตรีที่ไม่ถนัดการหยิบจับมือถือเครื่องใหญ่เทอะทะ ก็อาจจะเลือกรุ่นที่หน้าจอเล็กลงมาหน่อยนั่นเอง