fbpx
BusinessE-CommerceE-Commerce Insights

Thailand E-Commerce Landscape 2024 อัปเดตภาพรวมของภูมิทัศน์อีคอมเมิร์ซประเทศไทย 2024

By กุมภาพันธ์ 14, 2024 No Comments
Cover E-Commerce-Landscape-2024

Priceza Insights เราได้จัดทำ Thailand E-Commerce Landscape ที่รวมรวมผู้เล่นในตลาดอีคอมเมิร์ซมาอัปเดตความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุก ๆ ปี เพื่อที่จะให้ธุรกิจสามารถมองเห็น วิเคราะห์และทำความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างของระบบนิเวศน์อีคอมเมิร์ซ (E-Commerce Ecosystem) แนวโน้มและปัจจัยของการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศน์อีคอมเมิร์ซมีผลต่อการทำธุรกิจในโลกดิจิทัล การเข้าใจภูมิทัศน์นี้จะช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวตามนวัตกรรมและเทรนด์ใหม่ ๆ ได้อย่างทันท่วงทีช่วยยกระดับและมาตราฐานในการแข่งขันของธุรกิจอีคอมเมิร์ซไทยให้เป็นไปอย่างทัดเทียมในระดับสากล

ภาพรวมมูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซประเทศไทย

มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซประเทศไทยในปี 2023 คาดการณ์ว่าจะไปแตะอยู่ที่ 932,000 ล้านบาท เติบโตประมาณ 14% เมื่อเทียบกับปี 2022 อยู่ที่ 818,000 ล้านบาท นับว่าประเทศไทยได้เข้าสู่การซื้อขายออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบ ปัจจุบันคนไทยมากกว่าครึ่งเคยซื้อสินค้า/บริการผ่าน E-Commerce ด้วยการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของคนไทยที่ขยายตัวและครอบคลุมมากขึ้นด้วย

ภาพรวมของภูมิทัศน์อีคอมเมิร์ซในประเทศไทย

มีความเปลี่ยนเเปลงทั้งในด้านเเพลตฟอร์มการให้บริการ เทคโนโลยี รวมถึงโอกาสใหม่ ๆ เพราะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเริ่มมีการฟื้นตัว รวมถึงระบบนิเวศทั้งหลายของธุรกิจที่เข้าสู่ออนไลน์อย่างเต็มรูปเเบบหลังจากช่วงหลังโควิดที่ผ่านมา ซึ่งบริการ E-Commerce มีมุมมองหลากหลายมิติที่ครอบคลุมหลายด้านของการอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค การใช้จ่ายเงินไปกับการใช้บริการ E-Commerce ไม่เพียงเฉพาะสินค้าที่จับต้องได้ แต่ยังรวมถึงบริการที่เน้นทั้งด้านอาหาร (Food Delivery) การซื้อของภายในร้านอาหาร (Online Grocery) การท่องเที่ยว (Travel) และการซื้อตามความต้องการ (On-Demand Delivery)

ในด้าน ‘Retail Commerce’ การพึ่งพาแพลตฟอร์มอย่าง E-Marketplace อาจเป็นสิ่งที่ท้าทายมากขึ้น นั่นจึงเป็นแรงผลักดันให้แบรนด์ เริ่มเห็นความสำคัญของการมี ‘First party data’ เป็นของตัวเองมากขึ้น ซึ่งสามารถนำไปต่อยอดกับการใช้ Gen AI การนำเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้เพื่อ Personalization สร้างประสบการณ์ ‘Commerce Experience’ ในการช่วยแบรนด์สร้างยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยให้บริการ E-Commerce สามารถดึงดูดและรักษาลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน เราจะเห็นผู้เล่นหลายรายที่เร่งพัฒนาแอปพลิเคชั่นเป็น ‘Super App’ หรือ ‘Everyday App’ ที่ครอบคลุมทุกบริการทุกอย่างเข้าไว้ด้วยกัน โดยไม่ต้องออกไปใช้บริการแอปพลิเคชั่นอื่น ๆ สามารถสร้าง ‘Ecosystem’ ที่มีความแข็งแรงได้ด้วยตัวเอง
สามารถย้อนดูแลนด์สเคปของปีที่แล้วได้ใน  Thailand E-Commerce Landscape 2022

เราไปอัปเดตผู้เล่นของแต่ละกลุ่มกันว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง ผู้เล่นรายไหนยังคงอยู่ในสนาม และมีผู้เล่นใดที่เข้ามาเป็นผู้ท้าชิงในสนามปี 2024 นี้บ้างเราตามไปอัปเดตกัน

1. Marketing & Supporting

1.1 Retail Media

สำหรับ  Digital Advertising ในประเทศไทยเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ และภาคธุรกิจและนักการตลาดให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในตอนนี้ เราจะเห็นได้จากรายงานจากงาน DAAT 2023 ที่ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า เดือน มกราคม – มิถุนายน ที่ผ่านมา มูลค่าเม็ดเงินโฆษณาดิจิทัลเติบโตเพิ่มขึ้นถึง +5.6% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ด้วยมูลค่า 55,530 ล้านบาท

ที่น่าสนใจช่องทางของ Digital Advertising ยังมีช่องทางหลักในสนามเดิมอยู่เปล่า? จากข้อมูลของ  GroupM  ได้เปิดเผยว่าช่องทางที่เม็ดเงินโฆษณาดิจิทัลถูกใช้ไปส่วนใหญ่อยู่ที่ 2 ผู้เล่นหลัก ได้แก่ Google และ Facebook แต่ช่วงหลังๆมานี้ มีสื่อใหม่มาแรง ที่นักการตลาดคาดการณ์กันไว้ว่าเป็นเหมือน Wave ที่ 3 ของ Digital Advertising นั่นคือ ‘Retail Media’ ซึ่งกำลังเป็นที่จับตาของนักการตลาดไม่เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่เป็นที่น่าจับตาของนักการตลาดทั่วโลก

Marketing & Supporting

‘Retail Media’ หรือ ‘สื่อค้าปลีก’ เกิดขึ้นจากการเติบโตของการช้อปปิ้งออนไลน์  ทำให้โฆษณาภายในพื้นที่ของผู้ค้าปลีก เช่น ร้านค้าออนไลน์ หรือแพล็ตฟอร์ม Third party มีความสำคัญมากขึ้น โดย Retail Media จะช่วยผู้ค้าปลีกในการนำเสนอโฆษณาภายในร้านออนไลน์ หรือในแพลตฟอร์มของตนเพื่อเชื่อมโยงกับลูกค้า ยกตัวอย่าง Priceza มีพื้นในแพล็ตฟอร์มของตัวเอง และเปิดพื้นที่ให้แบรนด์ต่างๆ ช่วยให้แบรนด์สามารถเข้าถึงและมีส่วนร่วมกับลูกค้าได้มากขึ้น  เป็นพื้นที่ของโฆษณา (Ads placement) นั่นเอง และไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นสื่อ Online อย่างเดียวเท่านั้น พื้นที่หน้าร้าน Offline ก็สามารถสร้างพื้นที่โฆษณาได้เช่นกัน  ซึ่งการทำงานร่วมกันระหว่างผู้ค้าปลีก หรือเจ้าของแพลตฟอร์ม กับแบรนด์ทำให้เกิดการสร้างเครือข่าย ที่เรียกว่า Retail Media Network (RMN) ทำให้สื่อค้าปลีกมีความหลากหลายที่ช่วยให้ธุรกิจและนักการตลาดมีโอกาสเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ด้วยการให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้ากับแบรนด์ได้ได้ ทำให้การทำการตลาดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ตัวอย่างกลุ่ม Retail Media
Google, Priceza, Lazada, Shopee, Grab, LINE MAN, Robinhood

1.2 Social Media

การเติบโตของธุรกิจ E-Commerce ของประเทศไทยเติบโตขึ้นเรื่อยๆโดยเฉพาะช่วงโควิดปี 2019 ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 140% YoY คาดการณ์ว่ามูลค่าตลาด E-Commerce ประเทศไทยจะมีเม็ดเงินที่จะหมุนเวียนสูงถึง 1.6 ล้านล้านบาท ในปี 2027 หรืออีก 4 ปีข้างหน้า ต่างจากเม็ดเงินที่หมุนเวียนในตลาดปัจจุบันในปี 2023 ซึ่งอยู่ที่ 9.32 แสนล้านบาท จะเห็นได้ว่าเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกๆปี ซึ่ง ‘Social Commerce’ มีส่วนแบ่งมูลค่าตลาดถึง 22% สูงเป็นอันดับ 2 ของมูลค่าทั้งหมดรองลงมาจาก E-Marketplace  

หากลงมาโฟกัสในกลุ่ม ‘Social Commerce’ การไล์ฟขายของผ่านแพลฟอร์มโซเชียลมีเดีย หรือ ‘Live Commerce’ เป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนสำคัญที่ได้รับความนิยมจากลูกค้าสูงที่สุด นาทีนี้คงเป็น TikTok ซึ่งยอดขายออนไลน์รวม หรือ GMV (Gross Merchandise Volumn) ในปี 2022 อยู่ที่ 4,400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 162,600 ล้านบาท) มีการคาดการณ์ว่าในปี 2023 นี้ TikTok Shop จะสามารถสร้าง GMV ได้มากถึง 20% ของ Shopee เลยทีเดียว ‘Live Commerce’ ยังมีลักษณะพิเศษ คือการผสมผสานระหว่างอีคอมเมิร์ซที่ลูกค้ายังคงได้รับความสะดวกสบายจากการไม่ต้องออกจากบ้านไปซื้อของเอง และประสบการณ์จากร้านค้าจริงที่พ่อค้าแม่ค้าและลูกค้าใกล้ชิดกัน ในการคอมเม้นต์ถามเกี่ยวกับสินค้า รวมถึงการทำ Hyper-personalization ด้วย AI บนแพลตฟอร์มสร้างแรงจูงใจทำให้ลูกค้าเกิดการตัดสินใจซื้อแบบฉับพลัน (Impulse Purchase) เพียงแค่แวะเข้ามาดูไลฟ์

เมื่อมาดูว่า Social Media ใดที่ลูกค้านิยมซื้อมากที่สุดในปี 2023 จากสถิติของ Hubspot ได้รวบรวมไว้ว่าแพลตฟอร์ม Instagram และ Facebook ยังเป็น 2 แพลตฟอร์มที่ลูกค้านิยมซื้อ ถัดมาคือ TikTok ที่มีเส้นกราฟแห่งการเติบโตที่ก้าวกระโดดที่สุดในหมู่ Social Media อื่น ๆ โดยแพลตฟอร์มนี้ใช้เวลาเพียง 3 ปี ในการพัฒนาให้ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในช่วงอายุ 16-64 ปี มาเล่นเพิ่มขึ้นถึงราว ๆ 76% ด้วยกัน ซึ่งจะเห็นได้ว่า TikTok เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่แบรนด์หรือธุรกิจสามารถสร้างโอกาสในการเข้าถึงหรือการขายสินค้าได้มากขึ้น

ตัวอย่างกลุ่ม Social Media
Facebook, Instagram , Youtube, X (Twitter) , Tiktok, Pantip

1.3 Affiliate Marketing

จากเดิมเทรนด์การตลาดแบบบอกต่อ Word-of-Mouth (WOM) หรือการ ‘ป้ายยา’ เกิดจากพฤติกรรมของลูกค้ายุคดิจิทัลที่ ‘ใช้ – ชอบ – แชร์’ ด้วยการรีวิวและการส่งต่อประสบการณ์จริงที่ดู Real และทรงพลัง ยิ่งเป็นรีวิวจากคนใกล้ตัวจะช่วยให้ตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายยิ่งขึ้น พลังของการบอกต่อในโซเซียลไม่ว่าจะเป็นการแชร์ใน Facebook  การรีทวิตหรืออีกมากมายที่เกิดขึ้นในโลกโซเชียลทุกอย่างถูกส่งต่อไปมาอย่างรวดเร็ว เราจะเห็นแฮชแท็กบทสนทนาป้ายยายอดนิยม ที่ทำให้เกิดการบอกต่อและกระตุ้นการซื้อเช่น #ใช้ดีบอกต่อ #อร่อยไปแดก #HowToPerfect #รีวิวสินค้า แฮชแท็กเหล่านี้ทำให้เกิดลักษณะการ ‘ป้ายยา’ ซึ่ง ‘X’ หรือ ‘Twitter’ ได้เปิดเผยว่าหากสามารถสร้างบทสนทนาในมุมบวก (Positive Conversation) ได้ 10% จะช่วยสร้างยอดขายให้แบรนด์เพิ่มขึ้น 3% และค่าเฉลี่ยของแบรนด์ที่มีบทสนทนาบน Twitter ส่วนใหญ่ขายสินค้าได้เพิ่มขึ้น 5%  

มาในปัจจุบันในยุคที่ Creators เฟื่องฟู จนเกิดระบบเศรษฐกิจใหม่ที่เรียกว่า ‘Creator Economy’ ไม่เพียงใช้-ชอบ-แชร์ยังสามารถสร้างรายได้ด้วยการแปะลิงค์สินค้าได้อีกด้วย หรือที่เราเรียกการตลาดแบบนี้ว่า ‘Affiliate Marketing’ ที่เราอาศัยพลังแห่งการบอกต่อที่กล่าวมาข้างต้น สร้างความตระหนักให้แบรนด์หรือที่ธุรกิจได้เล็งเห็นโอกาสเชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมายในการสร้างความไว้วางใจและการสนับสนุนการขายสินค้าหรือบริการได้ การตลลาดวันละตอนได้ให้ข้อมูลว่ามีการโพสลิงก์ Affiliate Links บนโซเชียลมีเดียไม่น้อยกว่า 5 ล้านครั้งแค่ใน 9 เดือนแรกของปี 2023 

ซึ่งการ Live หรือ Live Commerce เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สามารถผลักดันให้ Affiliate Marketing เติบโตแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะ TikTok ยกตัวอย่างการ Live ขายของของตี๋โอ ที่สามารถทำเงินได้จากการ Live ผ่าน TikTok ได้ถึง 1 ล้านบาทภายใน 1 ชั่วโมง จนล่าสุดได้สร้างสถิติใหม่ทำเงินได้ 22 ล้านบาทจากการ Live แค่ 17 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งส่วนหนึ่งของความสำเร็จนี้มาจากการเปิดโอกาสผู้ใช้งาน หรือ TikToker คนอื่น ๆ รับส่วนแบ่งรายได้จากระบบตะกร้าเหลือง หรือค่านายหน้า จากการทำ Affiliate เมื่อทำคลิปรีวิวสินค้าแล้วมีคนตามไปซื้อสินค้าจริง ๆ จากคลิปรีวิวดังกล่าว

เรียกว่าในปี 2024 Affiliate Marketing เป็นหนึ่งในการตลาดที่ธุรกิจไม่ควรพลาดอย่างเแท้จริง ซึ่งแบรนด์ควรมองหาพันธมิตรเพื่อเริ่มต้นสร้างความสัมพันธ์อันดีกับและมองหาครีเอเตอร์ Publisher, Influencer, KOLS ที่ใช่ เมื่อแบรนด์สามารถที่จะเปิดใจครีเอเตอร์ได้ ครีเอเตอร์จะเป็นประตูไปสู่ฐานผู้ติดตามของพวกเขาซึ่งจะเป็นลูกค้าของคุณได้ในอนาคต  ปัจจุบันแพลตฟอร์มที่ให้บริการมีผู้เล่นในตลาดสัญชาตไทยอย่าง Priceza Affiliate, Pundai 

ตัวอย่างกลุ่ม Affiliate Marketing
Priceza Affiliate, Pundai, ShopBack, RadarPoint, MyCashback, Access Trade, Involve Asia, Ecomobi

1.4 CRM for B2C

จากสถิติในปี 2022 ธุรกิจกว่า 85% วางแผนลงทุนในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ซึ่งบริษัทที่ยังไม่ให้ความสำคัญกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซและ CRM ก็จะเสียเปรียบในการแข่งขันและถูกลืมในที่สุด โดยเฉพาะถ้าหากหากลูกค้าเจอประสบการณ์เชิงลบติดต่อกัน 3 ครั้ง มีโอกาสที่ลูกค้าจะไม่กลับมาซื้อซ้ำอย่างแน่นอน ซึ่งการทำ CRM สำหรับธุรกิจ B2C มีความสำคัญอย่างมากต่อธุรกิจ ช่วยให้ธุรกิจสร้างและบริหารความสัมพันธ์และดูแลลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อต่อยอดธุรกิจแบบ 360 องศา ด้วยข้อมูลของลูกค้าที่ธุรกิจเป็นเจ้าของเอง ทุกวันนี้ CRM จะยิ่งทวีความสำคัญ เพราะการเก็บคุกกี้จะยิ่งเหลือน้อยลงเรื่อยๆ แบรนด์ชั้นนำในตลาด B2C พยายามรวบรวม First Party Data ของลูกค้า เช่น เบอร์ติดต่อ, แหล่งที่มาของลูกค้า, โปรไฟล์บนโซเชียลมีเดีย และข้อมูลพฤติกรรมการซื้อสินค้า ข้อมูลเหล่านี้มีความสำคัญอย่างมากที่จะต่อยอดให้กับธุรกิจได้ ไม่ว่าจะเป็นการมอบประสบการณ์แบบ Personalized ให้กับลูกค้า หรือการรักษาลูกค้าเก่าด้วย Loyalty Program ที่จะช่วยให้เราสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ผ่านการมอบสิทธิพิเศษให้ลูกค้า เพื่อทำให้ลูกค้าเก่า เกิดความรัก ความผูกพันธ์ในแบรนด์ของเรา จากสถิติความสำคัญของ Loyalty Program ลูกค้าเก่ามีแนวโน้มที่จะจ่ายสูงกว่าอีกด้วย 

ตัวอย่างกลุ่ม CRM for B2C
LINE OA, ChocoCRM, BuzzeBees, Primo

1.5 Data Insights

การใช้ Data Insights เสริมเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซในด้านต่าง ๆ ที่มีประโยชน์หลายๆด้านด้วยกันเพื่อเข้าใจลูกค้า, ปรับกลยุทธ์ตลาด, บริหารจัดการสต็อก, พัฒนาผลิตภัณฑ์, ทำนายและวางแผน, และปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า. การใช้ข้อมูลและการวิเคราะห์ช่วยให้ธุรกิจดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพในสภาพแวดล้อมธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็

ตัวอย่างกลุ่ม Data Insights
Etailligence, KaloData, Wisesight, Mandala

2. E-Commerce Channels

2.1 E-Marketplace (Horizontal)

E-Marketplace ยังมี 2 ผู้เล่นหลักอย่าง Lazada และ Shopee ก่อนหน้านี้หากเรามองย้อนไป 10 ปีก่อน E-Marketplace ในประเทศไทยยังไม่เป็นที่รู้จักและมีอยู่ใช้งานน้อย ทั้ง 2 แพลตฟอร์มทุ่มงบการตลาดใช้เม็ดเงินในการทำโปรโมชั่น อัดแคมเปญ กระตุ้นทั้งฝั่งผู้ซื้อและผู้ขาย ซึ่งตลอดหลายปีมานี้เราพอจะทราบกันแล้วว่าทั้ง Lazada และ Shopee พึ่งจะมาทำกำไรในปีหลังๆ อย่าง Lazada ทำกำไรได้ใน 2 หลังคือปี 2021 ด้วยกำไร 226.89 ล้านบาท  และ ปี 2022 มีกำไรเพิ่มขึ้นเป็น 413.08 ล้านบาท ส่วนฝั่งของ Shopee ทำกำไรได้เป็นปีแรกด้วยตัวเลข 2,380.27 ล้านบาท จากการขาดทุนต่อเนื่องสะท้อนให้เห็นว่าทั้ง 2 E-Marketplace ต่างมุ่งเน้นในเรื่องการเติบโตของธุรกิจมากกว่ากำไร ก็จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงสู่ธุรกิจเพื่อทำกำไรอย่างชัดเจน โดยเริ่มจากการลดงบในการทำการตลาดลง ไม่ว่าจะเป็นการแจกโค้ด การทำคูปอง แคมเปญลดราคาสินค้าต่างๆ ลดลงอย่างเห็นได้ชัดจากแคมเปญ 11:11 ที่ผ่านมา งบการตลาดที่ใช้จะยังมีอยู่ แต่จะไม่มาจาก E-Marketplace แต่จะเป็นค่าบริการที่เรียกเก็บจากบรรดาร้านค้าที่เข้ามาใช้บริการ  ทำให้ร้านค้าขายสินค้าได้น้อยลง และมีผลกระทบให้กับยอดขายที่อาจจะไม่ดีเท่าเดิม

นอกจากผู้เล่นไทย ที่สำคัญ E-Marketplace ในไทยนั้นกลายมาเป็นสมรภูมิการแข่งขันของต่างชาติไปเกือบร้อยเปร์เซ็นต์ ก่อนหน้านี้ JD Central ได้มีการถอนตัวออกจากประเทศไทยในขณะที่มีแพลตฟอร์มไทยอย่าง Shopat24 ภายใต้เครือ CP All ยังคงทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง

ในส่วนของ TikTok ปีนี้ Priceza Insights เราจัดให้ TikTok เป็นผู้เล่นใหม่ในสนามนี้ด้วย เพราะ TikTok พัฒนาฟีเจอร์อย่างต่อเนื่อง ที่เปิดพื้นที่รวบรวมสินค้า ร้านค้า และหลากหลายแบรนด์ไว้บนแพลตฟอร์ม ซึ่งเริ่มตั้งแต่การค้นหาสินค้า การดูรีวิว กดสั่งซื้อ กดจ่ายเงิน หรือแม้แต่ตรวจสอบสถานะการจัดส่งก็ทำได้ครบ 

ตัวอย่างกลุ่ม E-Marketplace
Shopee, Lazada, Tiktok, Central, MOnline

E-Commerce Channels

2.2 E-Tailer (Vertical)

ธุรกิจการขายของออนไลน์ที่เน้นการขายสินค้าหรือบริการเฉพาะด้าน หรือขายเฉพาะหมวดหมู่ ความได้เปรียบของการขายสินค้าแนวดิ่ง ‘Vertical’ จะช่วยให้ธุรกิจสามารถเน้นการตลาดไปที่กลุ่มลูกค้าที่มีความสนใจเฉพาะในสินค้าหรือบริการนั้นๆ ของเรา และการทำธุรกิจในแนวดิ่งช่วยให้เราได้พัฒนาความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านได้ และสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้น เนื่องจากมีการวิเคราะห์และเตรียมสินค้าในแบบที่เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย การทำธุรกิจอคอมเมิร์ซเฉพาะด้าน จะเพิ่มโอกาสแข่งขันในตลาดนั้นๆ ที่อาจจะมีผู้เล่นในการแข่งขันไม่มากนัก ทำให้เรามีโอกาสที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำได้

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราเข้าชมเว็บไซต์ของ Konvy ที่เน้นการขายสินค้าในกลุ่ม Health & Beauty เราจะพบกับการ Community ที่เข้มแข็งของผู้คนที่มีความสนใจในด้านความงามและสุขภาพ ที่นี่เราสามารถติดตามและเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าที่ได้รับความนิยมในช่วงเวลานั้นๆ จากการแนะนนำของเว็บไซต์ รวมถึงเราสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมจากความคิดเห็นและรีวิวจากจากผู้เชี่ยวชาญและผู้ใช้จริง และยังสามารถตั้งคำถามที่สงสัยและรีวิวแบ่งปันประสบการณ์ตัวเอง ช่วยให้เราตัดสินใจซื้อสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เรียกว่าการทำธุรกิจอคอมเมิร์ซเฉพาะด้าน หรือการขายแนวดิ่ง ช่วยสร้างความไว้วางใจที่สูงขึ้นในการเลือกซื้อสินค้าเหล่านั้นกับลูกค้าได้

ตัวอย่างกลุ่ม E-Tailer  (Vertical)

Apparel & Footwear : Pomelo, SuperSports, RevRunnr, JDsports, ICC Shopping, Decathlon

Health & Beauty : Konvy, Watsons, Boots, EVE andBOY

Home & Living : HomePro, บุญถาวร, NocNoc, IndexLivingMall, DoHome

Electronics & Gadget : Advice, JIB, Banana, PWB, 425, Mercular

Grocery: Tops, BigC, Lotus’s, MakroPro

 

2.3 Chat Commerce

พฤติกรรมของคนไทยโดยปกติแล้วจะชอบพูดคุยซักถาม ‘แชทก่อนช้อป’ จึงเข้ามาเป็นช่องทางหลักในการสร้างสัมพันธ์กับแบรนด์ ซึ่ง Chat Commerce หรือ Conversational Commerce (C-Commerce) เติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ถูกจริตคนไทยมากที่สุดในการ ‘แซท-ช้อป’ เพื่อการซื้อ-ขายสินค้าบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram, LINE OA เป็นต้น ที่ใช้จบการขายแบบครบลูปได้ในแพลตฟอร์มเดียว ทั้งสอบถามรายละเอียด ต่อรองราคา จนไปสู่ทำการซื้อขาย โอนเงิน และจบการขายผ่านแซทนั่นเอง โดยหัวใจสำคัญของ Chat Commerce คือ ยิ่งตอบไวเท่าไหร่ยิ่งได้เปรียบ!

จากผลสำรวจของ ‘LINE  Thailand’ พบว่าคนไทย ใช้เวลาอยู่บน LINE เฉลี่ยมากถึงกว่า 90 นาทีต่อวัน และการพูดคุยผ่านแชทเพิ่มโอกาสให้แบรนด์ในการปิดการขายได้มากถึง 30% และมีสติที่น่าสนใจจาก Facebook ว่า 54% ของนักช้อปออนไลน์บอกว่า ประสบการณ์การซื้อของออนไลน์ครั้งแรก เกิดขึ้นจากการสั่งซื้อสินค้าผ่านแชท และ 75% ระบุว่า ลูกค้าได้วางแผนที่จะช้อปปิ้งผ่าน C-Commerce มากขึ้นในอนาคต และมักจะได้ซื้อสินค้าที่ไม่ได้ใจซื้อเพิ่ม หลังจากได้แซทพูดคุยกับร้านค้า

ในปี 2024 มีการคาดการณ์จาก Facebook ประเทศไทยว่า C-Commerce ในปีหน้า นอกจากจะมีการขยายตัวในการซื้อมากขึ้นแล้ว องค์กรใหญ่ๆ จะเข้ามาเล่นใน C-Commerce มากขึ้นด้วย โดยในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า C-Commerce จะมีอัตราการเติบโตมากกว่า 20-35% เลยทีเดียว ซึ่งจะมาพร้อมกับเทรนด์ของ ‘Personalize’ และ ‘AI & Automation’ ซึ่งจะช่วยในเรื่องของการมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบ ’เฉพาะคุณ’ ให้กับลูกค้า ซึ่งจะเติบโตไปพร้อมกับ Social Commerce

ตัวอย่างกลุ่ม Chat Commerce
LINE, Messenger, IG

2.4 Own Shop

แพลตฟอร์มสำหรับใช้ในการสร้างร้านค้าออนไลน์หรือเว็บไซต์ E-Commerce แบบสำเร็จรูป โดยจะมีเทมเพลตให้เลือกใช้มากมายหรือจะนำมาต่อยอดปรับแต่งให้เข้ากับสินค้าที่มี Template ให้เลือกมากมายที่เหมาะสมกับร้านค้า ซึ่งแต่ละแพลตฟอร์มมีค่าบริการและความยืดหยุ่น รวมถึงข้อจำกัดในการใช้งานแตกต่างกันไป

ซึ่งในปีนี้เราจะเห็นการปรับตัวของธุรกิจค้าปลีก หรือ Brand.com ในเรื่องของการขับเคลื่อนกลยุทธ์ Direct-to-Consumer (D2C) แทนที่การใช้ Business to Business (B2B) ในปีนี้กันมากขึ้น ด้วยการขายสินค้ากับลูกค้าโดยตรงผ่านช่องทางของตัวเอง โดยไม่ผ่านคนกลาง หรือผ่าน E-Marketplace ต่างๆ ทำให้แบรนด์ได้ค่าส่วนต่างที่สูงขึ้นเพราะไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายให้กับ ‘คนกลาง’ และ ‘เข้าถึงข้อมูลของลูกค้าโดยตรง’  ทำให้สามารถเข้าใจในสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และนำมาพัฒนาปรับปรุงการมอบประสบการณ์ของ (CX) ลูกค้าได้ดีมากยิ่งขึ้น

คาดว่าในปี 2024 นี้เราจะเห็นอีกหลายๆ แบรนด์จะลงเล่น D2C มากขึ้นอีก อย่างแน่นอน แต่อย่างไรก็ดีแม้กลยุทธ์ D2C จะสามารถทำให้ธุรกิจคล่องตัวมากขึ้น กำไรในมือมากขึ้น ทางกลับกันทางฝั่ง ‘คนกลาง’ หรือ ‘E-Marketplace’ เองมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน สิ่งที่แบรนด์จะสามารถพลิกเกมได้ คือเรื่อง ‘ความเร็ว’ ต้องเร็วในระดับกลุ่มคนกลางตามไม่ทัน และพยามทบทวนเรื่อง Infrastructure ของธุรกิจ

ตัวอย่างกลุ่ม Own Shop
Shopify, LnwShop, KetShopWeb, LINE SHOPPING, Bento, iGetWeb, MakeWebEasy

2.5 Quick Commerce

Quick Commerce หรือ Q-Commerce  กำลังเป็นอีกหนึ่งสมรภูมิการแข่งขันของบรรดา Super App ในปัจจุบันที่ดุแดดมากขึ้น ยิ่งแบรนด์หรือธุรกิจไหน สามารถพัฒนาโมเดล Omni-Channel เชื่อมต่อ Online to Offline และ Offline to Online  ได้อย่างไร้รอยต่อ สร้างความสะดวกสบาย และความรวดเร็วในการใช้บริการ จนสามารถส่งมอบบริการ ‘ความสะดวกเหนือไปอีกขั้น’ ให้กับลูกค้าที่การันตีระยะเวลาการจัดส่งสินค้าจะยิ่งเป็นต่อกว่าคู่แข่งในตลาด และจะเป็นตัวเลือกแรกๆของลูกค้า ‘NOWISM’ หรือ ‘Now Consumer’ ที่ใจร้อนมากขึ้น ‘ต้องการเดี๋ยวนี้’ พวกเขาจึงต้องการความสะดวกมากขึ้นเหนือไปอีกระดับ และคาดหวังต่อแบรนด์สูงขึ้นตามไปด้วย

การขยายตัวของอีคอมเมิร์ซ ทำให้ลูกค้าหันมาเลือกซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านทางบริการซูเปอร์มาร์เก็ต – ไฮเปอร์มาร์เก็ตออนไลน์มากขึ้น โดยเป็นการซื้อแบบวางแผนล่วงหน้าอีกทั้งยังซื้อในปริมาณที่มากขึ้นเพื่อตุนไว้ที่บ้าน แม้จะตอบโจทย์ในเรื่องของความสะดวกเพราะไม่ต้องไปเดินเลือกซื้อที่สโตร์ แต่ยังมีช่องว่างที่ไม่สามารถตอบโจทย์ในเรื่องของ ‘ความต้องการใช้ทันที’ ให้กับลูกค้าได้

Quick Commerce เข้ามาตอบโจทย์และเติมเต็มโมเม้นท์ที่ต้องการด่วน หรือ ต้องการใช้ทันที โดยการใช้เวลาจัดส่งสินค้าด้วยเวลาอันรวดเร็วโดยเฉลี่ยไม่เกิน 30 นาที ซึ่งระยะหลังลูกค้าหันมาสั่งซื้อสินค้าในกลุ่มของ ‘Online Grocery’ รวมถึงของใช้ในชีวิตประจำวัน โดยมีแพลตฟอร์ม On Demand Delivery ทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมต่อระหว่างร้านค้าทั้งรายใหญ่และรายย่อย เช่น ร้านโชห่วย  โดยจะมีไรเดอร์ ทั้งจักรยานยนต์ และรถยนต์ เป็นผู้จัดส่งสินค้าให้กับผู้ใช้บริการ

ในปี 2024 เราจะเห็นการแข่งขันที่ดุเดือนมากยิ่งขึ้นของบรรดา Super App ที่เดิมให้บริการแบบ On Demand Delivery พัฒนามาเป็น Quick Commerce ที่ครอบคลุมบริการแบบครบวงจร โดยขยาย Ecosystem ผลักดันในแพลตฟอร์มของตนเองเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของลูกค้า และยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากในตลาดนี้ เนื่องจากอัตราการเข้าถึง หรืออัตราการซื้อสินค้าของสด และของชำผ่าน Online Grocery มีสัดส่วนเพียง 2% เมื่อเทียบกับการซื้อผ่านร้านค้า หรือ Offline 98% เท่านั้น

ตัวอย่างกลุ่ม Quick Commerce
Grab, LINE MAN, FoodPanda, Robinhood, 7-11 ALL Online

3. Payment

จากรายงานของ Global Payments Report 2023 ที่จัดทำโดยบริษัท FIS ในสหรัฐฯ ระบุว่า การใช้เงินสดในเอเชียแปซิฟิกคาดว่าจะลดลงครึ่งหนึ่งระหว่างปี 2021 ถึง 2026 จาก 16% เป็น 8% ของมูลค่าธุรกรรม ณ จุดขาย หรือ POS (Point of Sale) ซึ่งเพิ่มอัตราเร่งขึ้นจากการขยายตัวของการชำระเงินผ่านมือถือและการใช้คิวอาร์โค้ด คาดการณ์ว่าการใช้เงินสดจะลดลงในทุกตลาด แต่ประเทศไทยยังคงมีการใช้เงินสดในอัตราที่สูงเป็นอันดับแรกอยู่ แม้ตัวเลขโดยรวมการใช้เงินสดจะลดลงอย่างต่อเนื่องในทุกปี คิดเป็น 56% ของมูลค่าธุรกรรม POS ในปี 2022 ซึ่งสูงที่สุดในเอเชียแปซิฟิกเมื่อเทียบกับตลาดอื่น โดยปี 2021มีส่วนแบ่งมูลค่าการชำระเงินสดอยู่ที่ 63% ของการชำระเงินทั้งหมด จะเห็นได้ว่าการชำระเงินสดค่อยๆลดลง

Payment

3.1 Cards

ส่วนการชำระเงินด้วยบัตร (Cards) ไม่มีนัยสำคัญในหมู่ผู้บริโภคชาวไทย แม้บัตรจะยังคงครองตลาดที่สำคัญ ซึ่งเป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม จากสถิติในปี 2022 การชำระเงินผ่านบัตรเครดิต (Credit Cards) คิดเป็น 13% ของการชำระ E-Commerce และ 11% ของมูลค่าธุรกรรม POS ในขณะที่การชำระเงินผ่านบัตรเดบิต (Debit Card) คิดเป็น 8% ของการชำระ E-Commerce และ 7% ของการใช้จ่าย POS

ตัวอย่างกลุ่ม Cards
Visa, Master, JCB, Amex

3.2 Domestic Payment

ในส่วนของการชำระเงินในประเทศ (Domestic Payments) มีเครือข่ายการชำระเงินแบบเรียลไทม์ที่ใหญ่และประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก นั่นก็คือระบบการชำระเงิน ‘PromptPay’ (พร้อมเพย์) ได้ทำสถิติในหนึ่งเดือนมีปริมาณธุรกรรมสูงถึง 1.4 พันล้านรายการ มีมูลค่ารวมกว่า 3.6 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 1.16 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่ง ’พร้อมเพย์’ เป็นตัวขับเคลื่อนการชำระเงินแบบ A2A (Account to Account) หรือ ‘บัญชีสู่บัญชี’ ให้กลายเป็นวิธีชำระเงินออนไลน์ชั้นนำของประเทศไทย โดยคิดเป็น 42% ของมูลค่าการชำระเงินอีคอมเมิร์ซ ในปี 2022 เพิ่มขึ้นจาก 38% ในปี 2021

ตัวอย่างกลุ่ม Domestics Payment
PromptPay

3.3 Digital Wallets

กระเป๋าเงินดิจิทัล (Digital wallets) ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องทั้งทาง Online และ Offline ในปี 2022 การชำระเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล เป็นอันดับ 2 ของมูลค่าการชำระเงินอีคอมเมิร์ซ คิดเป็น 25% และ 23% ของมูลค่าธุรกรรม POS โดย TrueMoney Wallet เป็นกระเป๋าเงินดิจิทัลชั้นนำในประเทศไทย จากผลสำรวจยังระบุอีกว่าและเป็นกระเป๋าเงินดิจิทัลที่พวกเขาชื่นชอบ กระเป๋าเงินที่สำคัญอื่น ๆ ในประเทศไทย ได้แก่ LINE Pay, และ ShopeePay

ตัวอย่างกลุ่ม Digital Wallets
TrueMoney Wallet, LINE Pay, ShopeePay, GrabPay, LazWallet, Paotang

4. BNPL

BNPL’ หรือ (Buy now, Pay Later) การซื้อสินค้าแบบ ‘ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง’ เป็นการซื้อสินค้าที่มีการแบ่งชำระเงินออกเป็นงวด ๆ เท่า ๆ กัน การชำระเงินในรูปแบบนี้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมาโดยเฉพาะในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ โดยกลุ่มที่เลือกใช้ธุรกรรมในรูปแบบนี้มากที่สุดคือ กลุ่ม Millennials และกลุ่ม Gen Z รวมถึงกลุ่มที่มีรายได้น้อย  สินเชื่อ ‘BNPL’ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการรับชำระเงินของธุรกิจค้าปลีก ซึ่งอาจช่วยเพิ่มยอดขายให้กับร้านค้า ช่วยทำให้ผู้ซื้อตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะสินค้าที่มีราคาสูง หรือช่วยให้ลูกค้ามีมูลค่ายอดซื้อมากกว่าความตั้งใจแรก อีกทั้ง ก่อให้เกิดความยืดหยุ่นในการชำระเงินซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสให้ลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าซ้ำ ขณะเดียวกันยังช่วยให้ร้านค้าปลีกเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้นด้วย

ตัวอย่างกลุ่ม BNPL
Atome, K Pay Later, SCB Pay Later, TrueMoney Pay Next, ThisShop, Ulite

5. Delivery

ตลาดขนส่งพัสดุไทยเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องสืบเนื่องมาจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์หรือ E-commerce มากขึ้น ทำให้การแข่งขันในตลาดขนส่งด้านกลยุทธ์ดุเดือดไม่แพ้กันนั่นเพราะผลกระทบจากอัตราค่าขนส่งพัสดุที่ปรับลดลงต่อเนื่องจากการแข่งขันด้านราคาของผู้เล่นหลักในตลาด และผู้เล่นรายใหม่ในตลาดหลายรายที่เข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด โดยการปรับราคาค่าขนส่งลงและเร่งขยายการให้บริการให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น สังเกตได้จากอัตราค่าขนส่งเริ่มต้นจากปี 2016-2018 จะอยู่ราวๆ 35-40 บาทต่อชิ้น ในขณะที่ปัจจุบันมีอัตราค่าขนส่งเริ่มต้นทั่วไปอยู่แค่ 15-20 บาทต่อชิ้นเท่านั้น 

การแข่งขันในตลาดขนส่งพัสดุมีจำนวนผู้เล่นเดิมอย่างไปรษณีย์ไทย และผู้เล่นรายใหญ่ที่กลายมาเป็นผู้เล่นหลักในตลาดโดยมีการขยายการเติบโตอย่างรวดเร็วในปี 2020 เป็นต้นมา อย่างเช่น Kerry, Flash Express, J&T Express อีกทั้งแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายอื่นๆเองต่างก็เร่งขยายบริการเช่น Shopee Express ที่เป็นของ Shopee เอง ซึ่งเราจะเห็นเทรนด์การให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนแบบครบวงจร (Integrated Logistics and Supply Chain Service) ที่พยายามกินรวบในการให้บริการทั้งหมด ตั้งแต่การให้บริการจัดเก็บสินค้าที่คลังสินค้า Fulfillment ที่มีผู้เล่นหลักอย่าง MyCloud, SokoChan, SiamOutlet, Akita บริการแพ็กสินค้าจนถึงบริการขนส่งไปยังผู้บริโภคและจะกลายเป็นบริการพื้นฐานที่ผู้ประกอบการขนส่งทุกรายต้องมี โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจ ส่งถึง-บุคคล (B2C) เพื่อรองรับการซื้อขายสินค้าผ่าน E-Commerce ในการเสนอบริการจัดส่งครบวงจรที่รวดเร็วภายใต้ต้นทุนที่เหมาะสม

Thailand E-Commerce Landscape 2024 อัปเดตภาพรวมของภูมิทัศน์อีคอมเมิร์ซประเทศไทย 2024 5

 

อีกทั้งการขยายจุดให้บริการเพิ่มขึ้นเพื่อแข่งขันกับธุรกิจ Shipping Aggregator ตัวกลางรับพัสดุที่รวมผู้ประกอบการขนส่งหลายรายมาไว้ในระบบเดียวกันที่มีแนวโน้มเติบโตและเร่งขยายสาขาให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้นเช่นกัน ผู้เล่นหลักในตลาดเช่น SHIPPOP, FasShip, ShipSmile services เป็นต้น

ในปีนี้เราจะเห็นการแข่งขัน On-Demand Commerce ที่เข้มข้นขึ้น จากเดิมที่เป็นการแข่งขันการค้าลักษณะ Platform หรือแอปพลิเคชันจัดส่งอาหาร ‘Food Delivery’ ก็เริ่มเปลี่ยนตัวเองให้เป็นบริการที่มากกว่าอาหาร โดยเปลี่ยนเป็นแอปพลิเคชันครบวงจร ที่สามารถใช้งานได้หลากหลายฟังก์ชันในแอปฯเดียว หรือเรียกว่า ‘Super App’ ด้วยความต้องการของผู้บริโภคตลาด On-Demand Commerce ทำให้หลายแอปพลิเคชันขยายฐานบริการมาลงเล่นในสนามนี้ ยกตัวอย่างเช่น LINE ที่รู้จักในไทยจากการเป็นแอปพลิเคชันแชต ปัจจุบันได้ขยายบริการที่ครอบคลุมมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นด้านข่าวหรือสื่อสารมวลชนอย่าง LINE Today และ LINE TV ด้านการชำระเงินหรือโมบายแบงก์กิ้งอย่าง LINE Wallet และ LINE Pay ด้านการให้บริการขนส่งอาหารและเครื่องดื่มอย่าง LINE Man รวมถึงการซื้อขายสินค้าออนไลน์ผ่าน LINE Shopping เป็นต้น และมีผู้เล่นอื่นๆอีกได้แก่ Grab, Robinhood, Lalamove, Deliveree, GizTix, 360truck, ซึ่งเราอาจจะได้เห็นพัฒนาการของแพลตฟอร์มหรือแอปพลิเคชันอื่นๆ ที่กำลังเตรียมยกระดับมาเป็น ‘Super App’ เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นได้ ในอนาคต

บทสรุปและความท้าทายของผู้เล่นใน E-Commerce Landscape ไทยปี 2024 มีอะไรบ้าง?

 

สำหรับปี 2024 สมรภูมิการแข่งขันอีคอมเมิร์ซ มีแนวโน้มดุเดือดยิ่งขึ้น! แม้ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งด้านเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย แต่สำหรับ “เศรษฐกิจดิจิทัล” (Digital Economy) ยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยหนึ่งใน Growth Driver สำคัญมาจาก “อีคอมเมิร์ซ” (E-Commerce) โดยรายงานเศรษฐกิจดิจิทัลเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฉบับที่ 8 (e-Conomy SEA 2023 Report) จัดทำโดย Google, Temasek และ Bain & Company ฉายภาพมูลค่าอีคอมเมิร์ซ ประเทศไทยปี 2023 อยู่ที่ 22,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (อัตราการเติบโต 10% เทียบกับปีก่อน คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2025 และคาดการณ์ว่าปี 2030 จะแตะ 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

ความท้าทายของผู้เล่นไทยในตลาดอีคอมเมิร์ซ นอกจากปัจจัยเรื่องราคา และพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคยุคดิจิทัลแล้ว สินค้าจีนที่ทะลักเข้ามาผ่านแพลตฟอร์ม E-Marketplace ปัญหาสินค้าราคาถูกที่เข้ามาทุ่มตลาดในไทยผ่านช่องทาง E-Commerce และการเข้ามาใช้ประโยชน์จาก Free Trade Zone เพื่อขายสินค้าในประเทศ รวมถึงการลักลอบนำเข้าสินค้าผ่านด่านศุลกากรโดยการสำแดงข้อมูลเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี ซึ่งทำให้สินค้าราคาถูกรวมถึงสินค้าที่ไม่มีมาตรฐานทะลักเข้าตลาดในประเทศ ส่งผลกระทบต่อยอดขายสินค้าของผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะ SMEs ที่ไม่สามารถแข่งขันด้านต้นทุนได้ ทั้งนี้ทางภาครัฐเองก็เริ่มตระหนักและหันมาทบทวนนโยบายการเรียกเก็บภาษีที่เหลื่อมล้ำเพื่อส่งเสริมและเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยได้เติบโตได้และไม่ได้รับผลกระทบจากการนำเข้าจากสินนค้าประเทศจีนและมีการแข่งอย่างเสรีและเป็นธรรมซึ่งเราคงได้เห็นการปรับโครงสร้างภาษีในปีนี้

ท่านสามารถดาวน์โหลดภาพ Landscape ฉบับเต็มเก็บไว้ใช้อ้างอิงได้ที่ลิงค์นี้ https://bit.ly/4bBKG5G
Thailand E-Commerce Landscape 2024 อัปเดตภาพรวมของภูมิทัศน์อีคอมเมิร์ซประเทศไทย 2024 6

 

Pricezter

Author Pricezter

More posts by Pricezter

รับคูปองส่วนลด

กรอกข้อมูลเพื่อรับส่วนลดในการเข้าเรียน