
แอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้าประจำบ้านที่มีบทบาทเป็นอย่างมากกับคนไทย โดยเฉพาะหน้าร้อนปรอทแตกที่พัดลม 3 ตัวก็เอาไม่อยู่แบบนี้! ของมันต้องมีจริง ๆ ซึ่งสำหรับใครที่กำลังจะซื้อแอร์ใหม่มาใช้สักเครื่อง แต่ไม่รู้จะเลือกยังไงดี คุณมาถูกที่แล้ว
จะเลือกไม่เป็น เลือกไม่ถูกก็คงไม่แปลก ก็แหมแอร์มันมีหลายประเภท หลายขนาด หลายยี่ห้อซะขนาดนั้น ด้วยเหตุนี้ Priceza จึงอยากอาสาแนะนำ คู่มือวิธีเลือกซื้อแอร์เครื่องปรับอากาศ ฉบับบ้าน ๆ พร้อมไขทุกคำถามแอร์คาใจ ชนิดไปถึงร้านชี้นิ้วสั่งซื้อได้เลยโดยไม่ต้องพึ่งพนักงานมาฝากจ้า
ในการเลือกซื้อแอร์ มีสิ่งที่ควรต้องคำนึงถึงอยู่ไม่กี่อย่าง ได้แก่ ประเภท ขนาดแอร์ (BTU) ไลฟ์สไตล์การใช้งาน ความประหยัดไฟ และงบประมาณที่มี แต่ในสิ่งเหล่านั้น ยังมีเรื่องทเจาะลึกลงไปเพื่อให้ได้แอร์ที่เหมาะสมกับห้องของคุณมากที่สุด มันมีสิ่งที่ควรรู้ซ่อนอยู่เยอะมาก ลองค่อย ๆ ทำความเข้าใจไปพร้อม ๆ กันได้เลย
เลือกประเภทของแอร์
ใครคิดว่าแอร์บนโลกนี้มีเฉพาะแบบที่ติดผนัง ยกมือขึ้น! ก่อนหน้านี้ผู้เขียนก็คิดแบบเดียวกัน แต่เอาจริง ๆ มันมีมากกว่านั้นเยอะ ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้เกณฑ์อะไรในการแยก ถ้าแบ่งแบบง่ายที่สุด เน้นที่ไปใช้งานในบ้าน คอนโด หรือหอพัก สามารถแบ่งได้ 3 ประเภทคือ แอร์ติดผนัง แอร์แบบฝังฝ้า และแอร์เคลื่อนที่ ซึ่งแต่ละประเภทมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน
- แอร์ติดผนัง แอร์ที่หลายคนน่าจะรู้จักมากที่สุด
- แอร์ฝังฝ้า
- แอร์เคลื่อนที่ หลายคนอาจจะสับสน
เลือกขนาด BTU แอร์ให้เหมาะสมกับขนาดห้อง
BTU (British Thermal Unit) เป็นคำที่มักได้ยินอยู่เสมอ และมักมาพร้อมคำถามสุดคลาสิคประจำว่า ” ขนาดห้องเท่านี้ ควรใช้แอร์ขนาดกี่ BTU ” เอาที่เข้าใจแบบบ้าน ๆ เลยนะ บีทียู คือหน่วยที่แสดงถึงปริมาณการใช้พลังงานความร้อนที่ใช้ในการทำความเย็น ตามหลักการทำงานของเครื่องปรับอากาศ ยิ่ง BTU เยอะยิ่งใช้ไฟเยอะ และหน่วยดังกล่าวนี้ถูกใช้เป็นตัวแทนเรียก ขนาดแอร์ นั่นเอง แอร์สำหรับที่พักอาศัยที่วางขาย ณ ปัจจุบัน มีขนาดเริ่มต้นตั้งแต่ 8,000 BTU ไปจนถึง 30,000 BTU ซึ่งการเลือก BTU แอร์ให้เหมาะสมกับไม่ใช่เรื่องยากเลย
การหาขนาด BTU ให้เหมาะสมกับขนาดห้องมีสูตรคำณวนดังนี้
ขนาด BTU แอร์ที่เหมาะสม = ความกว้างห้อง (เมตร) x ความยาวห้อง (เมตร) x ตัวแปร
หรือ
ขนาด BTU แอร์ที่เหมาะสม = ขนาดห้อง (ตารางเมตร) x ตัวแปร
โดยตัวแปรในที่นี้ หมายถึงตัวเลขแสดงสภาพแวดล้อมห้องที่จะทำการติดตั้ง โดย
- สำหรับห้องที่ไม่โดนแดด ใช้ตัวแปรโดยประมาณ เป็นเลข 650
- สำหรับห้องที่โดนแดด ใช้ตัวแปรโดยประมาณ เป็นเลข 750
ตัวอย่างการคำณวน BTU แอร์
ห้องนอนที่ไม่โดนแดด ขนาดห้อง 20 ตารางเมตร
คำณวนได้เป็น 20 x 650 = 13,000 BTU
แต่ถ้าไม่อยากคำณวนลองดูตารางแสดงขนาดแอร์ BTU ที่เหมาะสมกับขนาดห้องแบบคร่าว ๆ กัน
ขนาด BTU แอร์ | ขนาดห้องปกติ | ขนาดห้องแดดส่องถึง |
8000 BTU | ต่ำกว่า 14 ตารางเมตร | ต่ำกว่า 14 ตารางเมตร |
9000 BTU | 14 – 15 ตารางเมตร | 14 – 15 ตารางเมตร |
12000 BTU | 16 – 20 ตารางเมตร | 15 – 18 ตารางเมตร |
15000 BTU | 21 – 24 ตารางเมตร | 19 – 21 ตารางเมตร |
18000 BTU | 25 – 28 ตารางเมตร | 22 – 24 ตารางเมตร |
20000 BTU | 29 – 31 ตารางเมตร | 25 – 28 ตารางเมตร |
24000 BTU | 32 – 40 ตารางเมตร | 29 -37 ตารางเมตร |
30000 BTU | 41 – 50 ตารางเมตร | 38 – 47 ตารางเมตร |
เพื่อประสิทธิภาพการทำความเย็น และการประหยัดไฟที่ดีที่สุด ขนาด BTU จึงเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้น ๆ กล่าวคือ ยิ่งขนาด BTU เยอะก็ยิ่งทำให้ห้องเย็นเร็วขึ้น แต่ถ้าเยอะเกินไปก็จะยิ่งกินไฟมากกว่าที่ควรจะเป็น แล้วในทางกลับกันหากเลือกขนาด BTU น้อยเกินไป เครื่องจะต้องทำงานหนักและใช้ไฟมากกว่าปกติเพื่อทำให้ห้องอุณหภูมิทั้งห้องคงที่ ดังนั้นมันจึงเรื่องที่คุณต้องเลือกขนาดบีทียูแอร์ ให้สัมพันธ์กับขนาดห้องนั่นเอง
5 สิ่งสำคัญที่มักถูกมองข้ามเวลาเลือกซื้อแอร์
บางครั้งเรื่องยิบย่อยเกี่ยวกับเครื่องปรับอากาศที่คุณลืมให้น้ำหนักความสำคัญ อาจจะกลายปัญหาใหญ่ให้กับคุณได้อย่างไม่รู้ตัว และทั้งหมดที่เรากำลังจะเอามาบอกเพื่อน ๆ ต่อจากนี้คือสิ่งที่บางคนอาจจะมองข้ามพวกมันไป
พื้นที่ติดตั้งและขนาดคอมเพรสเซอร์
กรณีที่เป็นแอร์ประเภทติดผนัง หรือฝังฝ้าที่จำเป็นต้องทำการติดตั้งเพื่อใช้งาน สิ่งที่ควรดูก่อนตัดสินใจซื้อคือ เรื่องพื้นที่ติดตั้ง ทั้งตัวเครื่องและตัวคอมเพรสเซอร์ โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยในหอพักหรือคอนโดที่มีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด หากซื้อมาแล้วหาที่ติดตั้งไม่ได้ ความวุ่นวายบังเกิดแน่นอนจ้า
โดยทั่วไปเราควรต้องลองวัดขนาดพื้นที่คร่าว ๆ สำหรับการติดตั้งตัวเครื่องและคอมเพรสเซอร์เผื่อไว้ก่อนที่จะไปซื้อด้วย เพื่อที่เวลาช่างมาติดตั้ง ถ้ามันเกิดไม่พอดี จะได้ไม่ต้องเสียเที่ยวเปลี่ยนเครื่องใหม่ ซึ่งปกติแล้วการซื้อจากร้านค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าเค้าจะมีบริการมาติดตั้งให้ฟรี แต่สำหรับบางที่เพื่อน ๆ อาจจะต้องหาช่างมาติดตั้งเอง
ระบบเครื่องปรับอากาศ
โดยในท้องตลาดมีอยู่ด้วยกันสองระบบหลัก ๆ คือแบบธรรมดากับระบบอินเวอร์เตอร์ ซึ่งแตกต่างกันทั้งในแง่ของระบบการทำงานและอัตราการสิ้นเปลืองพลังงาน ข้อดีของแบบธรรมดาคือราคาเครื่องและอะไหล่ค่อนข้างสบายกระเป๋า มีระบบการทำงานไม่ซับซ้อน ระบบจะตัดการทำงานเมื่ออุณหภูมิลดเท่ากับที่ตั้งไว้และจะกลับมาติดเครื่องอีกทีเมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้นกว่าที่ตั้งไว้ ซึ่งการเปิดเครื่องมาใหม่เป็นช่วงใช้พลังงานมากกว่าการทำงานปติ 30% ทำให้ระบบแบบเก่านี้กินไฟมาก
ส่วนระบบอินเวอร์เตอร์มีดีที่ระบบการทำงาน ฟังก์ชันเยอะกว่าและประหยัดไฟมากกว่าทำให้ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานน้อยลงจากแบบธรรมดาเกือบเท่าตัว เนื่องจากเมื่ออุณหภูมิเท่ากับที่ตั้งไว้แล้ว ระบบจะไม่ตัดไฟ แต่จะใช้การลดความเร็วรอบของมอเตอร์แทน ทำให้ไม่ต้องมีช่วงติดเครื่องใหม่หลายรอบ ส่วนข้อเสียน่าจะเป็นเรื่องราคาตัวเครื่องและอะไหล่สำหรับการซ่อมบำรุงมีราคาค่อนข้างสูงพอสมควร
น้ำยาแอร์ หรือ สารทำความเย็น
นี่คือข้อมูลเชิงลึกที่พนักงานขายบางคนไม่กล้าบอก เพราะมันมีความเกี่ยวเนื่องทั้งในด้านราคาของตัวเครื่อง รวมทั้งการตัดสินใจของผู้ซื้อ น้ำยาแอร์ชนิด R22 คือชนิดเก่าที่ถูกยกเลิกการผลิตไปแล้วด้วยเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อม แต่ก็ยังมีเครื่องปรับอากาศอีกหลายรุ่นที่วางขายในท้องตลาดใช้น้ำยาชนิดนี้ และถึงแม้จะเลิกผลิตไปแล้วแต่น้ำยาชนิดนี้ก็ยังมีในสต๊อกให้ใช้ได้กว่า 10-1 5ปี ดังนั้นเครื่องปรับอากาศที่ใช้น้ำยาชนิดนี้มักจะมีราคาถูกกว่ารุ่นอื่น ๆ ในท้องตลาด น้ำยาตัวที่ถูกนำมาใช้ทดแทนคือ น้ำยาแอร์ R410A ซึ่งมีคุณสมบัติเย็นเร็วกว่า ประหยัดไฟกว่า แต่หากเกิดการรั่วซึมของน้ำยาการจัดการจะค่อนข้างยุ่งยากและเสียค่าใช้จ่ายมาก แถมเครื่องปรับอากาศที่ใช้น้ำยาชนิดนี้ก็ค่อนข้างมีราคาพอสมควร น้ำยาตัวต่อมาคือชนิดล่าสุด R32 มีคุณสมบัติเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมกว่าสองตัวข้างต้น การบำรุงรักษาไม่ยุ่งยาก ประหยัดไฟมากกว่า R22 แต่ยังน้อยกว่า R410A เครื่องปรับอากาศที่ใช้น้ำยาชนิดนี้มีราคาอยู่ในระดับปานกลาง และเป็นรุ่นใหม่ที่เพิ่งผลิตไม่กีปีมานี้
เมื่อนำข้อมูลสองชุดมาผนวกกันแล้วต้องตั้งคำถามกับตัวเองต่อว่ามีความจำเป็นในการใช้งานเครื่องปรับอากาศแค่ไหน? ซึ่งสำหรับบางคนอาจมีความต้องการใช้งานแค่ให้พ้นไม่กี่เดือนในฤดูร้อน หรือใช้บ้างบางวาระโอกาส การซื้อเครื่องปรับอากาศธรรมดาที่ใช้น้ำยา R22 และ R32 ในราคาสบายกระเป๋าและยอมจ่ายค่าไฟที่แพงขึ้นในบางเดือนก็ถือว่าเป็นการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายไม่มากเท่าใดนัก แต่สำหรับบางคนที่ต้องเปิดแอร์เป็นเวลานาน ๆ มีความต้องการใช้งานในทุก ๆ วันหรือมีกำลังซื้อยอมจ่ายแพงในคราวเดียวเพื่อลดภาระค่าไฟฟ้าในแต่ละเดือน การเลือกเครื่องปรับอากาศระบบอินเวอร์เตอร์ที่ใช้น้ำยา R32 และ R410A คงจะเป็นคำตอบที่ลงตัวที่สุด
อย่างไรก็ตามกลยุทธทางการตลาดทุกวันนี้ทำให้เครื่องปรับอากาศระบบอินเวอร์เตอร์ดูมีราคาใกล้เคียงกับระบบธรรมดา ด้วยการระบุราคาเครื่องเปล่าไม่รวมค่าติดตั้งและอุปกรณ์ ในขณะที่รุ่นธรรมดาส่วนใหญ่จะรวมค่าติดตั้งและอุปกรณ์เข้าไปแล้ว ดังนั้นหากเลือกเครื่องปรับอากาศระบบอินเวอร์เตอร์ควรนำเอาราคาทั้งสองส่วนมาคำณวนร่วมกันด้วย จึงจะประมาณค่าใช้จ่ายที่แท้จริงได้
ซื้อแอร์ที่ไหนดีกว่ากัน ระหว่างห้างร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือ ซื้อออนไลน์?
ซื้อที่ร้านค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า ห้างสรรพสินค้า
ข้อดี
- มีพนักงานขาย คอยให้คำแนะนำเพิ่มเติม
- ส่วนใหญ่มาพร้อมบริการติดตั้งฟรีที่บ้าน
- ได้ตัวเครื่องจริง
ข้อเสีย
- พนักงานขายบางคนอาจจะเชียร์เฉพาะรุ่นที่ต้องการขาย ซึ่งทำให้คุณอาจจะไม่ได้รุ่นที่ดีที่สุด
ซื้อออนไลน์
ข้อดี
- โปรโมชั่นเยอะกว่า ส่วนลดเยอะกว่า
- ไม่ต้องเสียเวลาไปเลือกซื้อ
ข้อเสีย
- บางร้านอาจไม่มีบริการติดตั้ง ซึ่งเราจะต้องหาช่างมาติดตั้งเอง
ด้วยหลักใหญ่ใจความแบบจำง่ายและได้ผลเพียงเท่านี้ ก็พอจะทำให้หลายคนมีความรู้ในการเลือกซื้อแอร์ที่ดีได้แล้ว ต่อไปหากอ่านคุณสมบัติของเครื่องปรับอากาศ ก็จะทราบในทันทีว่าราคาถูกหรือแพงกว่ากันด้วยเหตุใด แบบไหนตรงกับความต้องการของเรา ส่วนข้อมูลอื่น ๆ อย่างวัสดุที่ใช้ผลิตคอยล์ร้อนและคอยล์เย็น BTU ที่เหมาะสมกับขนาดพื้นที่ หากใครสนใจค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติมก็จะเป็นการดีไม่น้อย เพราะนั่นเกี่ยวเนื่องกับประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องปรับอากาศ รวมทั้งการสิ้นเปลืองพลังงานอีกด้วย
บทความที่เกี่ยวข้อง