
สายชาร์จ เป็นอีกหนึ่งของสำคัญที่เราพกติดตัวในสมัยนี้ เพราะสามารถนำขึ้นมาชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์ระหว่างวันนอกสถานที่ได้ เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งานได้เป็นอย่างดี และเป็นอุปกรณ์ที่มีมาให้กับโทรศัพท์มือถือทุกรุ่นอยู่แล้ว โดยแต่ละรุ่นจะใช้หัวที่ไม่เหมือนกัน จะใช้ร่วมกันได้ก็ต่อเมื่อรองรับสายรุ่นเดียวกัน หรือใช้สาย USB ที่รองรับการใช้งานในรุ่นของตัวเอง ส่วนจะใช้แทนได้อย่างไรและทำหน้าที่ได้เหมือนกันหรือไม่ ไปหาคำตอบกันเลย
ทำความรู้จักเจ้า 2 สายนี้ให้มากขึ้นว่าใช้แทนกันได้หรือไม่?
ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า สายชาร์จ คือ สายสำหรับชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือที่มีมาให้พร้อมกับอุปกรณ์อื่น ๆ ตอนที่เราซื้อโทรศัพท์กันอยู่แล้ว เป็นสายที่มีการชาร์จแบบ AC Charging คือการชาร์จแบตฯ เข้าแบบเต็มกำลัง ทำให้แบตเตอรี่เข้าอย่างรวดเร็ว เป็นสายแบบ 4 ขาที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่และถ่ายโอนข้อมูลได้ สามารถนำมาใช้ร่วมกับพอร์ต USB หรืออุปกรณ์ PC ได้
ส่วนสาย USB เป็นสายที่ใช้เชื่อมต่อกับพอร์ต USB และโทรศัพท์ สามารถใช้ชาร์จแบตเตอรี่กับโทรศัพท์ได้ โดยจะต้องเป็นสายที่มี Type เหมือนกันและรองรับโทรศัพท์มือถือรุ่นนั้น ๆ โดยทั่วไปแล้วสาย USB จะแบ่งการทำงานออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ แบบ 2 ขาและแบบ 4 ขา โดยแบบ 2 ขาจะเป็นสาย USB ที่สามารถชาร์จได้อย่างเดียว ไม่สามารถถ่ายโอนข้อมูลได้ หากใครซื้อสาย USB มาแล้วถ่ายโอนข้อมูลเข้ากับอุปกรณ์ต่าง ๆ ไม่ได้ก็ไม่ต้องตกใจไป เพราะมันมีไว้เพื่อชาร์จแบตฯ เท่านั้น ส่วนแบบ 4 ขาคือแบบที่สามารถใช้งานได้คล้ายที่ชาร์จแบตฯ ทั่วไป สามารถถ่ายโอนข้อมูลได้และชาร์จแบตฯ ได้
สายสำหรับชาร์จมือถือมีกี่แบบ?
ปัจจุบันหลักๆ แบ่งได้เป็น 4 แบบ
1. สาย Lighting
เป็นสายที่สามารถเชื่อมต่อเข้ากับ iPhone iPad ใช้สำหรับส่งสัญญาณเสียง รวมถึงสัญญาณ VDO
2. สาย Micro USB
ใช้สำหรับระบบ Android รองรับการชาร์จ และถ่ายโอนข้อมูลต่างๆ ด้วย อีกทั้งยังรองรับระบบ Fast Charge อีกด้วย
3. สาย USB Type-C
ปัจจุบันสาย USB Type-C ถูกพัฒนามาเรื่อยๆ สามารถถ่ายโอนไฟล์ข้อมูลได้สูงสุดถึง 10 Gbps เช่น วิดีโอความละเอียด 4K
4. แท่นชาร์จไร้สาย
มีแถบอิเล็กทรอนิกส์ในการถ่ายโอนพลังงานไฟฟ้าระหว่างแท่นชาร์จกับมือถือที่รองรับการชาร์จแบบไร้สาย ไม่ต้องต่อสายเข้ากับมือถือเราอีกต่อไป
ข้อควรระวังในการชาร์จแบตฯ ให้ปลอดภัยและใช้ได้นาน
1. ใช้สายและหัวชาร์จประเภทเดียวกัน
ในกรณีที่ซื้อสาย USB มาใช้แทนควรเลือกรุ่นที่รองรับกับหัวชาร์จ หากหัวชาร์จเป็นแบบชาร์จเร็ว ก็ควรเลือกสาย USB แบบชาร์จเร็วด้วย ซึ่งโดยปกติแล้วสาย USB จะมีปริมาณไฟฟ้าที่ไหลผ่านสูงสุด 2 แอมป์ แต่หากเลือกสายที่รับไฟได้น้อยหรือรับได้ไม่ถึง 1 แอมป์ ที่แม้จะเป็นหัวชาร์จเร็วก็ไม่สามารถชาร์จเร็วได้ เพราะสาย USB รับได้ไม่เต็มกำลังนั่นเอง
2. อย่าใช้สายหรือหัวชาร์จอะไรก็ได้
แม้สาย USB จะสามารถใช้แทนได้ แต่ประสิทธิภาพการทำงานนั้นก็ถือว่ายังไม่เท่ากัน เพราะสายแท้จะชาร์จได้เร็วกว่า หากรีบหรือต้องการชาร์จแบบเร็ว ๆ ควรเลือกชาร์จโดยสายแท้และชาร์จแบบ AC Charging หรือการเสียบเข้ากับไฟบ้านจะดีกว่า
3. ไม่ต้องรอให้แบตฯ หมดก็ชาร์จได้
หลายคนมักรอให้แบตเตอรี่หมดก่อนจึงนำมาชาร์จ แต่ความจริงแล้วสามารถนำมาชาร์จได้ ตอนแบตเตอรี่ต่ำกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ หรือ 15 เปอร์เซ็นต เพราะการชาร์จในช่วงนี้จะช่วยให้แบตเข้าเร็วและเต็มเร็วกว่าการรอให้แบตฯ หมดสนิท
4. ไม่เล่นเวลาชาร์จ
ถึงแม้เราจะเล่นหรือใช้งานฟังก์ชันต่าง ๆ เวลาที่ชาร์จแบตฯ ได้ แต่ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควร เพราะยิ่งเล่นยิ่งทำให้เปลืองแบตฯ ทำให้แบตฯ ที่กำลังจะเต็มก็ถูกใช้เรื่อย ๆ ส่งผลให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วกว่าการใช้งานแบบทั่วไป
5. สายขาดแล้วควรรีบเปลี่ยน
หากสายขาดหรือมองเห็นสายไฟด้านในแนะนำว่าให้เปลี่ยนใหม่ดีกว่าการฝืนใช้ต่อไป เพราะหากฝืนใช้ต่อจะทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอันตราย เช่น ไฟดูดหรือไฟฟ้าลัดวงจรได้
6. เมื่อหัวชาร์จหรือโทรศัพท์ร้อนไม่ควรชาร์จต่อ
หากชาร์จแบตฯ แล้วโทรศัพท์หรือหัวชาร์จร้อนผิดปกติควรรีบดึงออกในทันที แล้วตรวจสอบว่าสายและหัวชาร์จต่อเข้ากันได้สนิทหรือไม่ หรือหากเป็นอุปกรณ์ที่ซื้อตามท้องตลาดทั่วไปควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าใช้ร่วมกันได้หรือไม่ เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายได้
7. ใช้ของแท้ยังไงก็มั่นใจได้มากกว่า
ถึงอย่างไรแล้วของแท้ก็ยังทำให้มั่นใจได้มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นสายสำหรับชาร์จ สาย USB หรือหัวชาร์จ เพราะเป็นอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานและปลอดภัย
สายชาร์จและสาย USB สามารถใช้งานร่วมกันได้ หากว่าเป็นอุปกรณ์ที่รองรับการทำงานซึ่งกันและกัน ก่อนจะเลือกซื้อครั้งใดควรเลือกสาย USB ที่ได้มาตรฐาน ตรงกับรุ่นที่ต้องการ และสามารถใช้งานร่วมกับหัวชาร์จของคุณได้เพื่อความปลอดภัยและประโยชน์การใช้งานของคุณ
บทความที่เกี่ยวข้อง