
อากาศที่ประเทศไทยนั้นร้อนมาก ๆ เชื่อว่าหลาย ๆ บ้านกำลังมองหาแอร์เพื่อเสริมความเย็นอยู่ใช่ไหมคะ โดยถ้าบ้านของเพื่อน ๆ กว้างการมีแอร์ที่ขนาดใหญ่จะช่วยเสริมให้แอร์เย็นกว่า และประหยัดไฟกว่าได้ด้วยนะ โดยแอร์นั้นมีหลากหลาย BTU ไม่ว่าจะเป็น แอร์ 9000 BTU, แอร์ 12,000 BTU , แอร์ 18,000 BTU , แอร์ 24,000 และ แอร์อินเวอร์เตอร์ วันนี้ Priceza พามาดู 10 อันดับ แอร์ 18000 BTU ยี่ห้อไหนดี? เย็นสบาย ไม่เปลืองไฟ 2025
แอร์มีกี่ประเภท
- แอร์แบบติดผนัง : เป็นแอร์ที่มีความนิยมมากที่สุด มีราคาไม่สูง ไม่เปลืองพื้นที่ ตัวแอร์ติดตั้งง่าย สามารถทำความสะอาด และแอร์ประเภทนี้จะเหมาะกับห้องที่ไม่ใหญ่มาก เช่น ห้องนอน ห้องรับแขก หรือห้องทำงานที่ขนาดไม่ใหญ่จนเกินไป
- แอร์แบบตั้งพื้น : เหมาะกับห้องที่มีขนาดใหญ่ เพราะตัวเครื่องสามารถกระจายความเย็นได้ดี และเร็วคล้ายกับแอร์แขวน แต่มีลักษณะที่พิเศษกว่าคือสามารถเคลื่อนย้ายตำแหน่งได้ ส่วนใหญ่จะใช้ในห้องประชุม หรือจัดเลี้ยงเพราะห้องที่มีแคบจะทำให้ห้องดูเล็ก และแอร์นั้นจะเกะกะ
- แอร์แบบฝัง : เป็นแอร์ที่มักจะเห็นได้ตามโรงแรม เพราะสามารถทำความเย็นได้ดี สามารถประหยัดพื้นทีเพราะฝังไว้จะทำให้ไม่เห็นตัวเครื่อง แต่การติดตั้งต้องใช้ช่างที่มีความชำนาญ
- แอร์แบบหน้าต่าง : พบเห็นได้ยากในปัจจุบัน เพราะจะมีลักษณะเป็นตู้สี่เหลี่ยม โดยไม่มีคอมเพรสเซอร์ และใช้ติดตั้งในพื้นที่จำกัดได้ดี แต่จะสามารถปรับอุณหภูมิ และกระจายความเย็นไม่ดี และจะมีเสียงดังขณะใช้งาน
BTU แอร์คืออะไร สำคัญไหม ?
BTU ย่อมาจาก British Thermal Unit ชื่อเรียกของหน่วยที่ใช้วัดขนาดในการทำความเย็นของแอร์ โดยหลายคนอาจจะสงสัยว่า BTU สำคัญยังไง และทำไมหลายคนถึงให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก ๆ เมื่อติดแอร์ โดยขนาด BTU ต่างกันเพียง 1,000 – 2,000 ก็มผลต่อความเย็น โดยหากคุณซื้อแอร์ที่ BTU ขนาดเล็กกับห้องแอร์จะใช้พลังงานมากกว่าปกติทำให้ค่าไฟแพงขึ้น และหากเลือกแอร์ที่มีขนาด BTU ใหญ่กว่าห้องก็จะทำให้แอร์เย็นเร็วขึ้น แอร์จะตัดบ่อยขึ้น และทำให้ค่าไฟเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
การคำนวณค่าไฟแอร์
สำหรับการคำนวณอย่างแรกต้องรู้ก่อนว่าเป็นแอร์ประเภทไหน ระบบแอร์อินเวอร์เตอร์ (Inverter) หรือระบบแอร์รุ่นธรรมดา (Non-Inverter) หากเป็นระบบอินเวอร์เตอร์จะประหยัดกว่า โดยสูตรการคำนวณค่าไฟฟ้าของแอร์ต่อปี
แอร์อินเวอร์เตอร์
ค่าไฟต่อปีจะเท่ากับจำนวนชั่วโมงที่ใช้งานตลอดทั้งปี คูณ Cooling Capacity (btu/hr) หารด้วย ค่า SEER (btu/hr/w) คูณกับค่าไฟต่อหน่วย จากนั้นนำผลรวมทั้งหมดหารด้วย 1000 ก็จะได้ค่าไฟฟ้าต่อปีของแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์
ซึ่งค่า Cooling Capacity และค่า SEER หรือค่าประสิทธิภาพพลังงานตามฤดูกาลนั้น สามารถดูจากข้อมูลจำเพาะของสินค้าหรือสอบถามจากพนักงานผู้ขาย
ระบบแอร์รุ่นธรรมดา
ค่าไฟฟ้าจากการใช้งานแอร์ต่อปีจะคำนวณได้จากสูตร ค่าไฟต่อปีเท่ากับ จำนวนชั่วโมงการใช้งานตลอดทั้งปีคูณด้วย ค่ากำลังไฟฟ้า (วัตต์) คูณด้วยค่าไฟต่อหน่วย จากนั้นนำค่าทั้งหมดมาหารด้วย 1000 เท่านี้ก็จะได้ค่าไฟทั้งหมดตลอดทั้งปีของการใช้แอร์รุ่นธรรมดา
- แอร์ 9000 BTU เสียค่าไฟประมาณเดือนละ 433 บาท
- แอร์ 12000 BTU เสียค่าไฟประมาณเดือนละ 594 บาท
- แอร์ 18000 BTU เสียค่าไฟประมาณเดือนละ 733 บาท
โดยค่าไฟจะขยับสูงขั้นตามขนาด BTU ในขณะที่หากเป็นแอร์ติดผนังรุ่นธรรมดา ขนาด 9000 BTU จะเสียค่าไฟฟ้าเริ่มต้นประมาณเดือนละ 678 และขยับสูงขึ้นไปตามขนาด BTU ของแอร์เช่นเดียวกัน
แต่หากเป็นแอร์แบบแขวนใต้ฝ้า ถ้าเป็นแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์
- 12000 BTU มีการคำนวณไว้คร่าวๆ ว่าต้องเสียค่าไฟต่อเดือนประมาณ 650 บาท
- แอร์ 18000 BTU ประมาณ 940 บาท และจะขยับขึ้นหลักพันเมื่อใช้
- แอร์ 24000 BTU ค่า ไฟ จะอยู่ที่ราวๆ 1,360 บาท
- และถ้าใช้แอร์ 40000 BTU จะต้องเสียค่าไฟฟ้าอยู่ที่ราวๆ 2,260 บาทต่อเดือนเลยทีเดียว
สูตรคำนวณค่าไฟแอร์
ครั้งนี้เราจะมาสอนวิธีคำนวณค่าไฟแอร์ง่ายๆ กัน เป็นวิธีที่คำนวณไม่ยากเลยไปดูวิธีคำนวณกันเลยดีกว่า!
- ค่าBTU / ค่า SEER / 1000 x ชั่วโมงการใช้งาน x จำนวนวันใช้งาน x ค่าไฟฟ้าต่อหน่วย
ตัวอย่าง X-Inverter : 42TVAA013 / 38TVAA013
ขนาดแอร์ 12,200 BTU /ค่า SEER 22.50 / 1000 x 8 ชั่วโมงต่อวัน x 365 วัน x ค่าไฟฟ้า 3.96 บาท/หน่วย
ค่าไฟฟ้าต่อปี = 6,270 บาท
ขนาดแอร์ | ค่าไฟฟ้าต่อปี (ใช้แอร์ 8 ชั่วโมงต่อวัน) |
9000 BTU | 4625.28 |
12000 BTU | 6270 |
18000 BTU | 9250 |
24000 BTU | 12334 |
การใช้สูตรคำนวณนี้ก็จะได้รู้ค่าไฟแอร์แบบคร่าวๆ โดยหน่วยค่าไฟนั้นสามารถเปลี่ยนไปตามอัตราค่าไฟของการไฟฟ้าด้วย การคำนวณค่าไฟของแอร์แต่ละเครื่องนั้น จะถูกทำการคำนวณจากการเปิดแอร์ 8 ชม.ต่อวัน แต่สูตรนี้ยังไม่คำนวนรวมกับสภาพของแอร์ หากเป็นแอร์ที่ใช้งานมานานมากแล้ว อัตราการกินไฟอาจจะสูงกว่านี้เล็กน้อย ดังนั้นอย่าลืมหมั่นตรวจดูสภาพแอร์อยู่เสมอ แอร์จะได้มีอายุการใช้งานและได้ประสิทธิภาพที่ดีอีกด้วย
10 อันดับ 18000 BTU แอร์ยี่ห้อไหนดี? เย็นสบาย ไม่เปลืองไฟ 2025 !
สินค้าที่เราแนะนำ เราคัดเลือกจากอะไร?
- เทรนด์สินค้าที่ผู้คนให้ความสนใจในช่วงเวลานั้นๆ
- สินค้าแนะนำจากแบรนด์ดัง
- ภาพรวมการประเมินสินค้าของลูกค้าผู้ใช้จริง
นอกจากนี้เรายังรวบรวมช่องทางการสั่งซื้อ และร้านค้าที่มีความน่าเชื่อถือเป็นหลัก ทั้งยังมีการรับประกันสินค้า และการรับรองผ่านเงื่อนไขของอีคอมเมิร์ซแพลตฟอร์ม
บทส่งท้าย
เมื่อเลือกซื้อแอร์ 18000 BTU ได้แล้ว ควรบำรุงรักษาแอร์อย่างสม่ำเสมอ โดยล้างแอร์อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง และควรเรียกช่างมาตรวจสอบแอร์เป็นประจำทุกปี หากแอร์มีอาการผิดปกติ เช่น ทำงานไม่เย็น เสียงดัง น้ำหยด เป็นต้น ก็ควรส่งซ่อมให้ช่างผู้เชี่ยวชาญ โดยวิธีส่งซ่อมแอร์ 18000 BTU สามารถติดต่อไปยังศูนย์บริการของผู้ผลิตแอร์โดยตรง หรือติดต่อผ่านร้านจำหน่ายแอร์ที่ได้มาตรฐาน โดยควรแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับยี่ห้อ รุ่นของแอร์ อาการผิดปกติของแอร์ และที่อยู่ที่สามารถติดต่อได้อย่างชัดเจน เพื่อให้ช่างสามารถเข้าดำเนินการซ่อมแซมได้อย่างทันท่วงที