หน้าแรก คู่มือเลือกซื้อสินค้า ไขข้อสงสัย LED TV ต่างจากทีวีธรรมดาอย่างไร?

ไขข้อสงสัย LED TV ต่างจากทีวีธรรมดาอย่างไร?

3394

หากใครที่อายุตั้งแต่ 20 ปลาย ๆ คงจะทันทีวีรุ่นธรรมดาที่เป็นหน้าจอที่มีตูดใหญ่ ๆ ใช้พื้นที่ติดตั้งทีวีค่อนข้างมาก หรือรูปทรงทีวีที่เหมือนตู้ปลากันมาบ้าง แต่หากเป็นเด็กรุ่นใหม่อาจจะไม่ทันเห็นทีวีรุ่นนี้ มาดูความแตกต่างของทีวีธรรมดาและ LED TV กันว่ามีความแตกต่างกันมากน้อยอย่างไรบ้าง ทำไมถึงต้องมีการพัฒนารูปแบบทีวีจากทีวีธรรมดามาเป็น แอลอีดี ทีวี

 

จอทีวีธรรมดา หรือ จอ CRT (Cathode Ray Tubes)
คือ จอทีวีรุ่นเก่าที่เป็นเหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นแรก ๆ ที่มีหลังหนาและอ้วน ๆ มีการทำงานโดยการรับสัญญาณแบบอะนาล็อก คือ การส่งสัญญาณที่เป็นเส้นแบบต่อเนื่อง และเป็นสัญญาณที่ถูกรบกวนได้ง่าย ทำให้กลายเป็นข้อจำกัดของทีวีแบบธรรมดา คือ ภาพไม่คมชัดเมื่อถูกคลื่นสัญญาณอื่นรบกวน และช่องสัญญาณมีน้อยทำให้ไม่เพียงพอต่อการพัฒนาในเรื่องของการสื่อสาร ที่มีความต้องการเพิ่มมากขึ้น และมีค่าใช้จ่ายสูงหากต้องการเพิ่มช่องสัญญาณในการออกอากาศ ทั้งขนาดและการผลิตที่ทันสมัยได้เปลี่ยนวิธีการแสดงภาพจากหลอดจอภาพไปเป็นหลอด LED ทำให้จอทีวีธรรมดาได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปตามค่านิยมและลักษณะของการใช้งานตามยุคตามสมัยนั่นเอง

 

LED-TV-ในห้อง

LED TV คืออะไร

จอ LED TV (Light Emitting Diode)
เป็นทีวีที่มีการพัฒนาต่อเนื่องและเป็นรุ่นที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในปัจจุบัน จอ LED ใช้ระบบการทำงานโดยอาศัยหลอดไฟขนาดเล็กอย่างหลอด LED เป็นต้นกำเนิดของการฉายภาพ

ประเภทของจอ แอลอีดี ทีวี

จอ LED ถูกแบ่งออกเป็น 3 ประเภท โดยใช้ชนิดของหลอด LED ในแผงของทีวีเป็นตัวแบ่งประเภท ดังนี้

EDGE LED

คือหน้าจอที่มีหลอด LED อยู่ที่เฉพาะขอบของทีวีทั้ง 4 ด้าน ทั้งขอบบน-ล่าง ขอบซ้าย-ขวา การทำงานคือ หลอด LED จากขอบทั้ง 4 ด้าน จะเป็นตัวที่คอยยิงแสงเข้ามาบริเวณตรงกลางทีวี จุดเด่นของ EDGE LED คือ จะประหยัดไฟเพราะใช้จำนวนหลอดที่น้อยและขนาดของหน้าจอที่ค่อนข้างบาง เพราะไม่ต้องมีพื้นที่สำหรับใส่หลอด LED แต่ก็มีข้อเสียอยู่บ้างเมื่อเทียบกับ FULL LED นั่นคือ ไม่สามารถเปิด-ปิดหลอดไฟแบบแยกเป็นกลุ่ม ๆ หรือเรียกว่า การทำ Local Dimming ได้

 

LED-TV

FULL LED

หรือบางยี่ห้ออาจเรียก Direct LED เป็นจอที่ติดตั้งหลอด LED เต็มทั้งแผงหน้าจอทีวีคอยทำหน้าที่กำเนิดแสง ข้อดีของหน้าจอชนิดนี้ก็อย่างที่กล่าวมาคือ สามารถทำ Local Dimming หรือการเปิด-ปิดหลอดเฉพาะจุดหรือเป็นกลุ่ม ๆ ได้ ทำให้เห็นภาพเวลาที่ฉากมีสีดำและสีขาวอยู่ในเวลาเดียวกัน หลอด LED ด้านที่เป็นสีดำก็จะปิดเพื่อให้เห็นภาพที่เป็นสีดำที่ดำสนิทนั่นเอง แต่มีข้อเสียเล็กน้อยคือ ขนาดของหน้าจอจะมีความหนามากกว่าแบบจอ EDGE LED เพราะต้องใช้หลอดไฟ LED หลายตัว

RGB LED

จอ RGB LED หลักในการกำเนิดแสงมีความคล้าย ๆ กับแบบ FULL LED แต่แตกต่างกันตรงที่หลอด LED แบบ FULL LED จะมีสีขาวแค่สีเดียว ต่างจาก RGB แอลอีดี ทีวี ที่ใช้หลอด LED 3 สี ตามชื่อของหลอด LED เลยนั่นคือ RED (สีแดง) GREEN (สีเขียว) Blue (สีน้ำเงิน) ใช้หลักการผสมสีของหลอดให้เกิดเป็นสีต่าง ๆ โดยแต่ละสีจะถูกควบคุมจากสายสัญญาณขนาดตั้งแต่ 16 Bit ขึ้นไปในการควบคุมความละเอียดของการปรับสีของ LED ยิ่งมีการควบคุมจำนวนสายสัญญาณมาก ภาพที่ได้จากหน้าจอก็จะยิ่งมีความลึกของสีที่มาก ยิ่งเห็นภาพสมจริงมากยิ่งขึ้น ซึ่งหลอด LED 3 สี มีการทำงานที่แยกจากกันเป็นอิสระ ทำให้ได้สีที่สด ชัดเจนมากขึ้น สามารถทำ Local Dimming ได้เหมือนกับแบบ FULL LED แต่มีข้อเสียคือ ราคาของจอ LED ประเภทนี้จะมีราคาที่ค่อนข้างแพงกว่าแบบอื่น ๆ เพราะมีต้นทุนในการผลิตที่สูงกว่าทั้งหมดที่กล่าวมา

 

นั่งดู-LED-TV

 

ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยทำให้ แอลอีดี ทีวี ที่ผลิตออกมาในรุ่นปัจจุบันมีความทันสมัยและสามารถตอบสนองกับความต้องการที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งนวัตกรรมใหม่ ๆ ทำให้ แอลอีดี ทีวี กลายเป็น Smart TV ที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ชนิดอื่น เช่น เครื่องเล่น DVD เครื่องเล่นเกม อย่างเช่น Game PlayStation และบางรุ่นสามารถเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ ได้เหมือนกับสมาร์ทโฟน บางยี่ห้อมีการติดตั้งแอปยอดนิยม เช่น Youtube ช่องซีรีส์ดัง ๆ มาพร้อมกับเครื่องเลย แม้กระทั่งการสั่งงานที่ก้าวล้ำไปจนถึงการที่สามารถสั่งการทำงานได้จากเสียงผ่านรีโมท หรือผ่านหน้าจอได้โดยตรง ทำให้ทีวีในยุคดิจิทัลไม่ได้เป็นเพียงแค่จอภาพสำหรับชมรายการจากทางห้องส่งสัญญาณเหมือนสมัยก่อนอีกต่อไป

แนะนำ 3 รุ่น ทีวี ราคาคุ้มค่า น่าใช้

Samsung QLED 4K TV รุ่น QA55Q60RAK ขนาด 55 นิ้ว Q60R 4K Smart TV

เลือกสมาร์ททีวีรุ่นไหนดี? คำถามนี้ย่อมจะขาดแบรนด์ระดับโลกอย่าง SAMSUNG ไม่ได้แน่นอน โดยเฉพาะ Samsung QLED 4K TV รุ่น QA55Q60RAK ที่มาพร้อมจอ Quantum LED (QLED) ความละเอียด 4K (3840 x 2160p) ที่ให้ทั้งความคมชัดและรายละเอียดที่เหมือนจริง แถมยังมีมุมมองภาพกว้างถึง 360 องศา พร้อมด้วยโหมดอัจฉริยะที่ช่วยปรับค่าการแสดงภาพและเสียงให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในห้อง สามารถเชื่อมต่อได้ทั้ง HDMI, USB, Wi-Fi และ Bluetooth เรียกได้ว่าสามารถตอบสนองความบันเทิงได้ทุกรูปแบบเลยทีเดียว

Samsung QLED 4K TV รุ่น QA55Q60RAK ขนาด 55 นิ้ว Q60R 4K Smart TV

Sharp 4T-C50AH1X 4K Smart TV รับประกัน 3 ปี ขนาด 50 นิ้ว

หนึ่งในคำตอบที่เราแนะนำ ด้วยหน้าจอ LED ขนาด 50 นิ้ว ความละเอียด 4K (3840 x 2160p) ที่มาพร้อมโหมด HDR และระบบการแสดงภาพ X4 Master Engine Pro II ที่ Sharp พัฒนาขึ้นเองโดยเฉพาะ ช่วยให้ได้ภาพที่คมชัดและสีสันสวยงาม เมื่อทำงานร่วมกับระบบเสียงแบบลำโพงคู่ให้กำลังขับถึง 20W ก็ยิ่งช่วยยกระดับประสบการณ์เวลาชมภาพยนตร์ได้อย่างเต็มอรรถรสมากขึ้น แถมยังรองรับการเชื่อมต่อทั้ง HDMI, USB 2.0 และ Bluetooth 4.2 อีกด้วย

Sharp 4T-C50AH1X 4K Smart TV รับประกัน 3 ปี ขนาด 50 นิ้ว

Samsung UHD SMART TV 4K รุ่น 55TU7000 55 นิ้ว

ด้วยหน้าจอ LED Crystal Display ขนาด 55 นิ้ว ความละเอียด 4K (3840 x 2160p) ที่มาพร้อมโหมดการแสดงภาพ HDR และระบบประมวลผลภาพ Crystal Processor 4K ทำให้ได้ภาพที่คมชัดสวยงามทุกรายละเอียด แถมยังมีระบบเสียงเป็นลำโพงกำลังขับถึง 20W พร้อมระบบ Dolby Digital Plus ที่ช่วยให้รู้สึกถึงเสียงคมชัดจากรอบทิศทาง นอกจากนี้ยังรองรับการเชื่อมต่อครบครันทั้ง HDMI, USB, Wi-Fi และ Bluetooth อีกด้วย

สำหรับใครที่กำลังมองหา LED TV เครื่องใหม่ นอกจากจะต้องพิจารณาเรื่องของราคาแล้วก็ควรเลือกที่เป็นรุ่นใหม่และมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อป้องกันปัญหาเครื่องเก่าที่ไม่รองรับกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ในอนาคตได้นั่นเอง