
หัวข้อแนะนำที่น่าสนใจ เลือกอ่านได้เลย
ผลกระทบของ COVID-19 ต่อธุรกิจค้าปลีก
การระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างมากต่อธุรกิจค้าปลีก เนื่องจากทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคทั่วโลกเปลี่ยนแปลงไป เป็นบวกหรือลบขึ้นอยู่กับประเภทสินค้าและช่องทางการขาย ยอดขายของสินค้าบางประเภทและบางช่องทางอาจลงลด แต่สินค้าบางประเภทและบางช่องทางการขายอาจขายได้มากขึ้น ซึ่งทำให้ผู้ค้าปลีกต้องปรับตัวครั้งใหญ่กับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดนี้
พฤติกรรมผู้บริโภคในช่วงโควิด-19
- ลดซื้อสินค้าที่ไม่จำเป็น เพราะในช่วงที่โควิด-19 ระบาด เป็นช่วงที่ผู้คนทั่วโลกต้องสูญเสียรายได้ จึงลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง
- ซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น เนื่องจากมาตรการล็อคดาวน์
- ซื้อสินค้าเพื่อสุขภาพและสุขอนามัยมากขึ้น เพื่อดูแลรักษาร่างกายให้แข็งแรงและป้องกันโรค
- เลือกบริโภคมากขึ้น โดยเน้นร้านที่ดูสะอาด ปลอดภัย ไว้ใจได้
ผลประกอบการของธุรกิจค้าปลีกในช่วงโควิด-19
(จากการสำรวจของ “กรุงเทพธุรกิจออนไลน์” ในไตรมาสที่ 1/2563)
CPALL
CPALL หรือ บริษัท ซีพี ออลล์ จํากัด (มหาชน) (ธุรกิจหลักในเครือ ได้แก่ เซเว่น อีเลฟเว่น และ แมคโคร) มีรายได้รวมในไตรมาสที่ 1/2563 ประมาณ 145,855 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันในปี 2562 ที่มีรายได้รวม 138,896 ล้านบาท อยู่ประมาณ 6,959 ล้านบาท หรือคิดเป็น 5.2% โดยมีสัดส่วนรายได้มาจาก 2 กลุ่ม ได้แก่ ธุรกิจร้านสะดวกซื้อและธุรกิจอื่นๆ ประมาณ 64% และ ธุรกิจค้าส่ง 36% โดยสินค้าที่เติบโตสูง คือ กลุ่มอาหาร สินค้าดูแลสุขภาพ ยารักษาโรค และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด
ถึงแม้รายได้รวมอาจเพิ่มขึ้น แต่หากดูผลกำไรจะพบว่า CPALL มีกำไรในไตรมาสที่ 1 ลดลงจากปีที่แล้ว 2.15% จาก 5,769 ล้านบาท เป็น 5,645 ล้านบาท เหตุเพราะค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการขยายสาขาและการจ่ายดอกเบี้ย แต่มีรายได้ต่ำกว่าเป้าหมายจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเฉพาะ เซเว่น อีเลฟเว่น ที่เคยเปิด 24 ชั่วโมงทุกวัน แต่ต้องมีกำหนดเวลาเปิด-ปิด ในช่วงล็อคดาวน์และเคอร์ฟิวตามมาตรการป้องกันการระบาดของโควิด-19 ซึ่งส่งผลลบต่อ CPALL อย่างแน่นอน
BJC
BJC บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จํากัด (มหาชน) มีบริษัทย่อย คือ บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ ห้าง “บิ๊กซี” ที่เรารู้จักกันดี มีรายได้รวมในไตรมาส 1/2563 ประมาณ 42,328 ล้านบาท เติบโตขึ้น 0.2% โดยแยกรายได้เป็น
- กลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีก มีรายได้ประมาณ 26,970 ล้านบาท สูงขึ้นจากปีที่แล้ว 0.3%
- กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค มีรายได้ประมาณ 5,580 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% โดยมีสินค้าขายดีได้แก่สินค้าที่จำเป็นในช่วงการระบาดของโควิด-19 เช่น ทิชชู่ เครื่องใช้ส่วนตัว กระดาษเปียก แอลกอฮอล์ และเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ เป็นต้น แต่กลุ่มอาหารโดยเฉพาะขนมนั้นมียอดขายลดลงเพราะผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น
- กลุ่มเวชภัณฑ์ ทั้งยา อุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ ในไตรมาสที่ 1 มีกำไร 1,444 ล้านบาท ลดลงจากปีที่แล้ว 12.5% หรือประมาณ 206 ล้านบาท
CRC
CRC หรือบริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจครอบคลุมหลายกลุ่ม ทั้งแฟชั่น ฮาร์ดไลน์ และอาหาร เช่น ท็อปส์ มาร์เก็ต, โรบินสัน, ไทวัสดุ เป็นต้น
CRC มีรายได้ในไตรมาส 1/2563 ประมาณ 54,285 ล้านบาท เติบโตขึ้น 1% แต่มีกำไรสุทธิที่ 890 ล้านบาท ลดลงไปกว่า 63% จากปีที่แล้ว เหตุเพราะมาตรการล็อกดาวน์ที่ทำให้ศูนย์การค้าต้องปิดให้บริการ โดยกลุ่มสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถาณการณ์ระบาดของโรคนี้ที่สุด คือ กลุ่มแฟชั่น ที่มีรายได้ลดลงถึง 3,500 ล้านบาท
แต่เนื่องจาก CRC มีกลยุทธ์ Customer-Centric Omni-channel หรือการเชื่อมร้านค้าและออนไลน์เข้าหากัน จึงทำให้ยังคงเติบโตได้อยู่ ซึ่งช่องทางนี้มีการเติบโตสูงถึง 93% โดยกลุ่มที่ยังเติบโตอยู่ ได้แก่
- ธุรกิจอาหาร เติบโตขึ้น 4% ทั้งในไทยและเวียดนาม
- ธุรกิจกลุ่มฮาร์ดไลน์ ได้แก่ กลุ่มอุปกรณ์ก่อสร้างหรือต่อเติมบ้านแบบ DIY ที่เติบโตขึ้นถึง 32% ซึ่งเป็นส่วนธุรกิจที่ CRC มีแผนขยายสาขาเพิ่มในไทย และเปิดศูนย์การค้าแห่งใหม่ที่เวียดนามอีกด้วย
MBK
MBK หรือ บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจ MBK Center (ศูนย์การค้ามาบุญครอง) ธุรกิจโรงแรมและท่องเที่ยว และถือหุ้นในกลุ่มบริษัทอื่นๆ เช่น กลุ่มสยามพิวรรธน์
ในช่วงไตรมาส 1 MBK มีรายได้รวม 2,528 ล้านบาท ลดลงจากปีที่แล้ว 7% แต่หากนับเฉพาะในส่วนของศูนย์การค้า MBK นั้น มีรายได้ประมาณ 835 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากปี 2562 ถึง 15% หรือราวๆ 145 ล้านบาท เนื่องด้วยผลกระทบจากมาตรการป้องกันโรคระบาดที่ทำให้สถานที่เสี่ยง เช่น ศูนย์การค้าต้องปิดให้บริการชั่วคราว รวมทั้งยังมีการยกเว้นค่าเช่าให้ร้านค้าต่างๆ ตลอดระยะเวลาที่ปิดดำเนินการ จึงทำให้รายได้ลดลงไปอย่างมาก
แนวโน้มการฟื้นตัวของธุรกิจค้าปลีกหลังวิกฤติโควิด-19 จากการคาดการณ์ของศูนย์วิจัยกสิกรไทย
การผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ที่ให้ร้านค้าต่างๆ สามารถกลับมาเปิดดำเนินการได้ ถือว่าเป็นโอกาสกลับมาฟื้นตัวของธุรกิจค้าปลีก แต่ก็อาจไม่ได้เป็นไปอย่างรวดเร็ว เพราะยังมีปัจจัยหลายอย่างที่กดดันการเติบโตในช่วงนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้บริโภคที่ยังไม่มีกำลังซื้อและยังไม่รู้สึกปลอดภัยในการออกไปจับจ่ายใช้สอยนอกบ้าน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่า หากประเทศไทยสามารถควบคุมสถาณการณ์การระบาดได้ในครึ่งปีแรก ภาพรวมการเติบโตของการค้าปลีกในปี 2563 จะหดตัวประมาณ 5-8% แต่กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยอาจจะเติบโตได้ช้ากว่าสินค้าอื่นๆ ที่จำเป็นกว่า ซึ่งทั้งหมดก็ยังต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัดหลายอย่าง และต้องปรับตัวกันพอสมควร
แนวทางการปรับตัวของร้านค้าปลีก
- เพิ่มมาตรฐานความสะอาดและความปลอดภัย เป็นสิ่งที่ทุกร้านค้า ทุกธุรกิจต้องทำเพื่อสร้างความไว้วางใจให้ผู้บริโภค ว่าจะปลอดเชื้อโรคแน่นอน
- เพิ่มช่องทางการขายและการติดต่อออนไลน์ รุกตลาดออนไลน์ โดยอาจจับมือกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ชต่างๆ หรือสร้างเพจในโซเชียลมีเดีย ให้ลูกค้าซื้อสินค้าได้ทุกช่องทาง
- พัฒนาการขายและการบริการให้ดี เพื่อสร้างความประทับใจและประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า เพราะในยามที่การแข่งขันสูงจากจำนวนผู้บริโภคที่น้อยเช่นนี้ หากบริการไม่ดีก็อาจเสียลูกค้าได้ง่าย
ต้องยอมรับว่าโลกเปลี่ยนไปแล้ว มีโอกาสสูงที่โควิด-19 (COVID-19) จะเปลี่ยนรูปแบบการค้าปลีกในระยะยาว เพราะเชื้อโรคนี้อาจจะอยู่กับเราไปอีกนานจนกว่าจะมีวัคซีนป้องกัน ซึ่งนานแค่ไหนไม่มีใครทราบแน่ชัด เพราะฉะนั้นอย่างเดียวที่ทำได้ตอนนี้ คือ การปรับตัวให้ไวที่สุด ตอนนี้โลกออนไลน์และเทคโนโลยีมาแรง เราก็ต้องพร้อมเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ แพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นมา เพื่อนำมาปรับใช้ในธุรกิจให้อยู่รอดต่อไป
Source: Kasikorn SCB Bangkokbiznews Brandage
สนใจเริ่มต้นขายของออนไลน์ โดยให้ Priceza เป็นผู้ช่วยให้คำปรึกษา? สามารถกรอกแบบฟอร์มด้านล่างเพื่อให้เราทราบว่าคุณต้องการให้เราช่วยในด้านไหนได้เลยค่ะ