
เมื่อการช้อปออนไลน์เริ่มมีอิทธิพลในชีวิตประจำวันกับผู้บริโภคมากขึ้น การซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์ม Social Media หรือที่เราเรียกว่า ‘Social Commerce’ เป็นอีกหนึ่งแผนการตลาดที่ทุกแบรนด์พยายามผลักดันและปั้นขึ้นมา ซึ่งตอนนี้การค้าขายออนไลน์ E-commerce โดยเฉพาะแบรนด์ที่สามารถ Direct to Consumer (D2C) ได้โดยตรง แบรนด์จึงสามารถผสานช่องทางการขายและการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายแบบ omni-channel ทำให้ Social Commerce ในประเทศไทยเริ่มเห็นภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้น จากพฤติกรรมของผู้บริโภค รวมถึงสถิติต่างๆ ที่มีข้อมูลออกมา โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19
ปัจจัยที่ทำให้ E-Commerce เติบโตอย่างก้าวกระโดด ก็มาจากสาเหตุที่ทราบกันดี คือในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 นั่นเอง จากพฤติกรรมที่เป็นทางเลือกใหม่ ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ต้องการซื้อสินค้าได้โดยไม่ต้องออกจากบ้าน กลายมาเป็นช่องทางที่สะดวกและคุ้นชินของคนไทย เราจะเห็นว่าในปี 2020 นั้น E-Commerce เติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 35% แต่ภาพรวมในปี 2021 คาดว่าจะเติบโตราว 15-20% และเติบโตต่อเนื่องไปอีก 3 ปี
จากสถิติ Social Commerce พบว่าผู้บริโภคนิยมเลือกซื้อสินค้าบนโซเชียลมีเดีย ไล่เรียงความนิยม 4 อันดับ โดยอันดับที่ 1 คือ Facebook คิดเป็น 58%, อันดับที่ 2 LINE 35%, อันดับที่ 3 Instagram 21%, และอันดับสุดท้าย Twitter 11% โดยตัวเลขที่น่าสนใจ คือ ช่วงวัยที่นิยมช้อปผ่าน Facebook มากที่สุด คือ 35-44 ปี ส่วน Twitter คือวัย 18-24 ปี อย่างไรก็ตาม 69% ของผู้ที่ซื้อสินค้าผ่าน Facebook บอกว่าเลือกซื้อผ่าน Page ของแบรนด์เป็นหลัก
หัวข้อแนะนำที่น่าสนใจ เลือกอ่านได้เลย
แรงบันดาลใจในการช้อปผ่านโชเชียล
61% เห็นสินค้า/บริการ จาก Feed/Story
60% ได้รับการป้ายยาจากอินฟลูเอนเซอร์
60% ติดตามแบรนด์ที่ตัวเองชื่นชอบ
55% ได้รับคำแนะนำจากครอบครัวและเพื่อน
42% ค้นหารีวิวสินค้า/บริการ
Facebook : แหล่งเช็กคำแนะนำจากคนใกล้ตัวในโซเชียล
Facebook เป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยุคแรกๆ จึงทำให้มีฐานผู้ใช้งานสูงกว่าแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่นๆ เป็นแหล่งรวมเพื่อนที่ติดต่อกันปัจจุบัน และเพื่อนสมัยอดีตที่คนส่วนใหญ่มาตามหาบนเฟสบุ๊กกัน รวมถึงพี่น้องครอบครัวเรียกว่ารวมตัวกันอยู่ที่นี่ จึงทำให้พฤติกรรมของนักช้อปจะได้รับอิทธิพลมาจากคนใกล้ชิดเป็นส่วนใหญ่ เราจะเห็นการเขียนรีวิวบรรยายลักษณะยาวๆ อย่างละเอียดจากเพื่อนๆเราเอง ซึ่งมันมีอิทธิพลต่อความเชื่อในชีวิตประจำวัน ด้วยเหตุนี้ Facebook จึงกลายเป็นแหล่งเช็กคำแนะนำหรือข้อคิดเห็นต่างๆ จากคนใกล้ชิดของเรานั่นเอง
แบรนด์สามารถสร้างแคมเปญรีวิว หรือการติดแฮชแท็กโดยเริ่มการสร้างเอ็นเกจเมนต์กับกลุ่มคนเหล่านี้เป็นการตลาดแบบบอกต่อ เพื่อสร้าง Awearness ให้กับแบรนด์ ถือเป็นการทำการตลาดเบื้องต้นได้ดี จากนั้นเราอาจจะต่อยอดจากกลุ่มคนเหล่านี้ ด้วยการทำ ‘Affiliate Marketing’ ที่ค่อยๆแทรกซึมไปตามคอนเท้นต์ในรูปแบบค่างๆได้อีกด้วย
Instagram : แหล่งสร้างแรงบันดาลใจในการเลือกช้อป
ชาวโซเชียลเลือก Instagram เป็นพื้นที่แสดงตัวตนสะท้อนไลฟ์สไตล์มากที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นภาพลักษณ์ที่พวกเขาอยากให้คนอื่นมองเห็น และรู้จักความเป็นตัวเราผ่านภาพ รวมถึงเสพไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ ที่หลากหลายจากคนดัง หรือคนอื่นๆ ที่เราติดตาม ด้วยเช่นกัน Instagram จึงเป็นแหล่งสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนในโซเชียลได้เลือกช้อปโดยเฉพาะสินค้าแฟชั่น
บนหน้าช้อปหรือหน้าร้านของเราด้วย Mood & Tone ที่สวยงามและแสดงความเป็นแบรนด์มากที่สุด นอกจากนั้นการลงเกี่ยวกับจุดเด่น จุดแตกต่างของแบรนด์ รวมถึง FAQ จากนั้นนำไปเซฟไว้ใน Story Highlights ควรลงคอนเท้นต์ Lifestyle ที่เสพเร็วๆ แต่สวยงาม
Twitter : แหล่งรวบรวมข้อมูลประกอบการคิดก่อนซื้อ
Twitter นับว่าเป็นแพลตฟอร์มที่มีข้อมูลหลากหลาย รวมความคิดเห็นที่จากหลากมุมมองแบบเรียลไทม์ และตรงไปตรงมา และเราจะเห็นทั้งความเห็นด้วยและความเห็นต่างที่เกิดขึ้นจริง ทวิตเตอร์จึงเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว ทำให้แบรนด์ใกล้ชิดกับลูกค้าเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยและสร้างการมีส่วนร่วม
แบรนด์ควรมีคอนเทนต์เร็ว ไว ตามกระแส Tweet ให้สั้น กระชับ และเข้าใจง่ายและใช้ภาษาที่ไม่เป็นทางการจนเกินไปและไม่ควรใช้สำนวนขายตรงขายชัดจนเกินไป ควรใช้ภาษาคุยกันแบบสุภาพ สนุกสนาน เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายของสินค้าหรือบริการของเรา สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการกำหนด Keyword จะช่วยให้เราสามารถดึงดูดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ผ่านการค้นหา ‘คำหรือวลีต่างๆ’ ที่เราใช้ในการสร้างคอนเทนต์และใส่ hashtag ที่เกี่ยวข้องจะทำให้จะช่วยให้ผู้ใช้งานค้นหาคอนเทนต์ของเราได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
TikTok : แหล่งป้ายยาตามหาของแปลกใหม่
แพลตฟอร์ม Short Video ที่มาแรงเป็นอย่างมาก นั่นก็คือ TikTok ที่ได้รับความนิยมสูงขึ้นเรื่อยๆ ที่เป็นอีกหนึ่งในคอมมูนิตี้ของคนยุคใหม่ พวกเขาล้วนเข้ามาเสพความบันเทิงและความสุขเพื่อคลายเครียดในแต่ละวัน TikTok เปิดเผยว่า มีผู้ใช้ TikTok มากกว่า 240 ล้านคนต่อเดือนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นับเป็นเกือบ 1 ใน 4 ของผู้ใช้ทั่วโลก TikTok จึงกลายเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่มีอิทธิพลอย่างมากในมุมของการตลาด และมี nano-Influencer หน้าใหม่เกิดขึ้นในช่องทางนี้ทุกวัน
แบรนด์สามารถผสมผสานกันระหว่างคอนเทนต์และคอมเมิร์ซ สร้างการรับรู้ให้กับผู้ที่ได้ดูด้วยรูปแบบวิดีโอสั้น คอนเทนต์ต้องสามารถดึงดูดความสนใจภายในเวลา 7 วินาทีเพื่อให้ดูจนจบ และเป็นคอนเท้นต์ที่เข้าถึงได้ง่ายจะส่งผลทำให้จดจำได้ง่ายขึ้น สร้างการรับรู้ในเวลาอันรวดเร็ว
YouTube : แหล่งตามรอยช้อปจากเหล่าอินฟลูเอนเซอร์
Youtube เป็นแหล่งรวบรวมคลิปวิดีโอไว้มากมากมาย จึงเเหมาะทำการตลาดออนไลน์ผ่านการสร้างสรรค์วิดีโอ เพื่อดึงดูดให้ผู้ชมเกิดความสนใจ ช่วยสร้างภาพลักษณ์ เพิ่มโอกาสในการรับรู้แบรนด์ และช่วยกระตุ้นยอดขายให้เพิ่มมากขึ้นเราจะเห็นว่าผู้บริโภคจะเข้ามาศึกษาข้อมูลรีวิวจริง วิธีการใช้งานจากผู้ใช้จริงจากแพลตฟอร์มนี้
YouTube ก็เป็นส่วนหนึ่งของ Search Engine หมายความ เมื่อไหร่ก็ตามที่มีการค้นหา ชื่อสินค้า หรือคำใกล้เคียง การติด Tag จะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงวิดีโอของคุณได้ง่ายมากขึ้น ในส่วนของคอนเท้นต์วิดีโอควรจะเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย ความชอบสิ่งที่พวกเขาสนใจผ่านการร่วมงานกับอินฟลูเอนเซอร์ที่มีผู้ติดตามเป็นกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ สร้างคอนเท้นต์ยาวๆ เช่นรีวิวการใช้งานพร้อมติดตามผลลัพธ์ รวมถึงสร้างคอนเทนต์ที่อยู่ในกระแส ไม่ใช่เพียงแค่การมุ่งแต่โฆษณาเพียงอย่างเดียว ก็สามารถกระตุ้นให้เกิดความสนใจเพื่อสร้างโอกาสทางการตลาดให้กับแบรนด์มากยิ่งขึ้น
Pinterest : แหล่งคลังภาพสร้างแรงบันดาลใจในการช้อป
Pinterest นั้นเป็นแหล่งที่ใช้หาแรงบันบาลใจต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มนักออกแบบ และกลุ่มผู้บริโภคยังใช้เป็นคลังเก็บไอเดียต่างๆที่ชอบ ไว้เป็นไอเดียในการช้อป แบรนด์จึงสามารถเชื่อมโยงการค้นหาแรงบันดาลใจเหล่านี้มาหาสินค้าและบริการของแบรนด์ตัวเองได้ สถิติที่น่าสนใจของ Pinterest จากข้อมูลจาก omnicoreagency.com ได้ระบุ 97% ของคนที่เข้ามาดู Pinterest กำลังวางแผนซื้อสินค้า และ 87% มีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าจริงๆ
สำหรับแบรนด์ที่ต้องการให้คนเห็นภาพแล้วกระตุ้นให้อยากจะซื้อสินค้า ควรสร้างเอกลักษณ์เป็นตัวของตัวเอง รูปภาพที่ใช้จะต้องกระตุ้นแรงบันดาลใจได้และไม่ใช่โฆษณาหรือมีการขายอยู่ในรูป เป็นรูปที่ให้ประโยชน์ผู้บริโภคและแบรนด์ควรทำตัวให้เป็นครีเอทีฟเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คนมาอยากใช้สินค้าต่อไป
นี่เป็นแนวทางที่จะช่วยให้แบรนด์และนักการตลาด นับไปปรับประยุกต์ใช้ ให้ยืดหยุ่นและเหมาะสมกับธุรกิจของตัวเองครับ