
ทุกวันนี้เรารู้กันดีว่า Social Media มีอิทธิพลต่อผู้บริโภคมากแค่ไหน ยิ่งในปี 2016 ที่แพลตฟอร์ม Tiktok ได้เปิดตัวและทำหน้าที่เสมือนเวทีประลองของเหล่า Content Creator ยิ่งตอกย้ำว่าตอนนี้ได้หมดยุคของการโปรโมตสินค้าผ่านแบรนด์ หรือการตลาดแบบ Business to Customer (B2C) ไปแล้ว ผู้บริโภคคัดกรองข่าวสารได้ด้วยตนเอง และเชื่อผู้บริโภคด้วยกันเองมากกว่าคำโฆษณาชวนเชื่อผ่านสื่อของแบรนด์โดยตรง
เราจะขับเคลื่อนธุรกิจอย่างไร ในยุคที่ “ตาเห็นไม่เท่า 10 ปากว่า…”
เมื่อทุกการตัดสินใจของผู้บริโภคในปัจจุบัน มักมาจากการอ่านรีวิว การบอกต่อ การอธิบายคุณสมบัติ และการทดลองใช้จริง “อินฟลูเอนเซอร์” (Influencer) จึงมีบทบาทที่สำคัญในการสร้างยอดขายให้กับองค์กรต่างๆ เป็นอย่างมาก เพราะการ “ใช้จริงและรู้จริง” น่าเชื่อถือกว่า การใช้ “อินฟลูเอนเซอร์” มาทำการตลาดอาจใช้ต้นทุนที่ต่ำกว่า แต่กลับสร้างยอดขายให้คุณได้มากกว่าที่คิด
หัวข้อแนะนำที่น่าสนใจ เลือกอ่านได้เลย
“อินฟลูเอนเซอร์” (Influencer) คืออะไร?
อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) คือผู้สร้างข้อมูลและเนื้อหา (Content) เผยแพร่บนแพลตฟอร์มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, Youtube, Tiktok หรือ Blog บอร์ดและกระทู้ต่างๆ คล้ายอาชีพผู้ผลิตเนื้อหา (Content Creator) แต่แตกต่างตรงที่อินฟลูเอนเซอร์นั้นมีผู้ติดตามเป็นของตนเอง (Followers) และมีอิทธิพลบนสื่อมากกว่า ยิ่งผู้ติดตามเยอะก็ยิ่งมีอิทธิพลมาก
จุดเด่นของอินฟลูเอนเซอร์คือความสามารถในการนำเสนอเนื้อหา (Content) ที่น่าสนใจกว่าคนทั่วไป สามารถโน้มน้าวใจผู้คนได้ มีความรู้ลึกเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ทำให้ดูน่าเชื่อถือ ซึ่งความน่าเชื่อถือของอินฟลูเอนเซอร์ก็มักจะมาจากยอดผู้ติดตามด้วยเช่นกัน โดยระดับของอินฟลูเอนเซอร์ จะแบ่งตามจำนวนผู้ติดตามดังนี้
ประเภทของ Influencer
- Mega Influencers ผู้ติดตามมากกว่า 1,000,000 คนขึ้นไป
- Macro Influencer ผู้ติดตามตั้งแต่ 100,000 คนขึ้นไป
- Mid-tier Influencer ผู้ติดตามตั้งแต่ 50,000 – 100,000 คนขึ้นไป
- Micro Influencers ผู้ติดตามตั้งแต่ 10,000 – 50,000 คนขึ้นไป
- Nano Influencers ผู้ติดตามตั้งแต่ 5,000 – 10,000 คนขึ้นไป
เลือก Influencer อย่างไรในการทำการตลาด ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด?
หลายองค์กรเลือกใช้ “ยอดผู้ติดตาม” (Followers) เป็นปัจจัยหลักในการเลือกอินฟลูเอนเซอร์เพื่อใช้โปรโมตสินค้า หรือแคมเปญที่เน้นสร้างการรับรู้ของแบรนด์ (Brand Awareness) ด้วยความเชื่อที่ว่ายิ่งผู้ติดตามเยอะ คนก็จะยิ่งเห็นเยอะ ซึ่งความเชื่อเหล่านั้นไม่ผิดแต่อย่างใด
แต่ด้วยปัจจุบันจำนวนผู้ติดตามนั้นถูกสร้างขึ้นได้ไม่ยาก ทั้งผ่านการใช้วิธีลัดอย่างการยิง Ads, การซื้อยอดผู้ติดตาม, การ Invite คนรู้จัก, รูปลักษณ์ที่เป็นที่นิยม หรือแม้แต่การสร้างกระแสผ่าน Content ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ที่อาจรวมทั้งกระแสที่ดีและไม่ดี ทำให้ผู้ติดตามนั้นอาจมีความหลากหลายมากเกินไป และอาจมีทั้งผู้ติดตามที่มีตัวตนและไม่มีตัวตนอยู่ด้วย
ดังนั้นการเลือกอินฟลูเอนเซอร์ผ่านจำนวนผู้ติดตาม อาจไม่ใช่การทำการตลาดที่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควรนัก ในขณะเดียวกันการเลือกอินฟลูเอนเซอร์ ผ่านรูปแบบหรือหมวดหมู่ของ Content ที่ถูกนำเสนอออกมาอาจทำให้ได้ฐานลูกค้าที่ตรงกลุ่มเป้าหมายมากกว่าด้วยซ้ำ เพื่อให้ตรงวัตถุประสงค์ของการทำแคมเปญต่างๆ ให้ได้มากที่สุดเราควรจะเลือกอินฟลูเอนเซอร์จากปัจจัยเหล่านี้
ความเฉพาะทางและความเกี่ยวข้องระหว่างอินฟลูเอนเซอร์และแบรนด์
การค้นคว้าข้อมูลคือพื้นฐานของการทำการตลาดทุกรูปแบบ เพื่อภาพลักษณ์ที่ดีและความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ควรเลือกอินฟลูเอนเซอร์จากการนำเสนอ Content ของพวกเขา ว่ามีเนื้อหาเป็นอย่างไร มีความเกี่ยวข้องกับประเภทธุรกิจของคุณอยู่หรือไม่ รวมไปถึงประวัติเบื้องหลัง เช่น เขาจบการศึกษาทางด้านไหนมา มีแพชชั่นด้านไหน หรือมีทักษะอะไรบ้าง
กลุ่มผู้บริโภคที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของแคมเปญ
อย่างที่บอกไปข้างต้นว่า การเลือกอินฟลูเอนเซอร์จากจำนวนผู้ติดตาม อาจไม่ใช่การตลาดที่มีประสิทธิภาพนัก เพราะผู้ที่ติดตามทั้งหมดที่อินฟลูเอนเซอร์มีอาจไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย ที่สอดคล้องกับเป้าหมายหลักของแคมเปญ เช่น คุณมีอินฟลูเอนเซอร์ 2 รูปแบบให้เลือกในการโปรโมตแบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นผู้หญิง
– อินฟลูเอนเซอร์ A มีผู้ติดตามมากกว่า 50,000 โดยมีเพศชายและหญิงเท่ากันในอัตราส่วน 50-50%
– อินฟลูเอนเซอร์ B มีผู้ติดตามมากกว่า 30,000 โดยมีเพศชายเพียง 10% แต่มีเพศหญิงมากถึง 90%
สรุปได้ว่าหากคุณเลือก “จำนวนผู้ติดตาม” เป็นปัจจัยหลักในการเลือกอินฟลูเอนเซอร์ คุณอาจได้ฐานผู้ชม (Viewer) จำนวนมากที่ไม่ได้สนใจผลิตภัณฑ์ของคุณเลย ดังนั้นการเลือกอินฟลูอินเซอร์จึงควรเลือกจากประเภทของผู้ติดตาม ว่าตรงกับกลุ่มผู้บริโภคของธุรกิจของเราหรือไม่วิเคราะห์แคมเปญการตลาดที่ผ่านมาของอินฟลูเอนเซอร์
เพื่อตรวจสอบว่าค่านิยมที่อินฟลูอินเซอร์มีนั้นสอดคล้องกับแบรนด์ของคุณ ก่อนเลือกอินฟลูเอนเซอร์ คุณควรตรวจสอบแคมเปญในอดีตที่อินฟลูเอนเซอร์เคยทำ หรือเคยได้รับการจ้างจากแบรนด์อื่นเพื่อดูไลฟ์สไตล์ ทัศนคติ และวิธีการนำเสนอ Content เพื่อใช้เป็นตัวอย่างในการบรีฟ หรือการยก Case Study ต่างๆ รวมไปถึงการประเมินภาพลักษณ์ของอินฟลูเอนเซอร์ ที่อาจกระทบไปถึงแบรนด์ของคุณเองด้วย
หลีกเลี่ยงอินฟลูเอนเซอร์ที่กำลังดำเนินแคมเปญอยู่
การทำแคมเปญทับซ้อนกันกับแบรนด์อื่น โดยใช้อินฟลูเอนเซอร์คนเดียวกันอาจไม่ใช่การตลาดที่ดีนัก เพราะนอกจากจะวัดผลได้ยากแล้ว ยังมีโอกาสที่แบรนด์ทั้ง 2 จะถูกเปรียบเทียบ หรือก่อให้เกิดความสับสนว่าเป็นแบรนด์เดียวกัน ซึ่งจะดูเป็นการยัดเยียดผู้บริโภคมากๆ มันจะไม่แย่นักถ้าแบรนด์ทั้ง 2 มีสินค้าไม่เหมือนกัน แต่หากทั้ง 2 เป็นแบรนด์ที่มีสินค้าใกล้เคียงกัน การทำแคมเปญพร้อมกันนั้น อาจทำให้ความน่าเชื่อถือของอินฟลูเอนเซอร์ลดลง และอิทธิพลของอินฟลูเอนเซอร์ที่เลือกมาอย่างดีนั้น ก็อาจไม่มีค่าอะไรเลย
การตั้งเป้าหมายและผลชี้วัดของ Influencer Campaign
เราจะวัดผลได้อย่างไรจากการทำการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์ พื้นฐานหลักในการตั้งตัวชี้วัดความสำเร็จ (Perfomance) ของ Influencer Campaign นั้นไม่ต่างจากการวัดผลแคมเปญการตลาดทั่วไปมากนัก ต่างเพียงแค่รายละเอียดเล็กน้อย ซึ่งหลักๆ จะมีดังนี้
การรับรู้และการมองเห็น (Impressions and reach)
การสร้าง Brand Awareness คือหน้าที่หลักของอินฟลูเอนเซอร์ที่นักการตลาดเลือกใช้ ยอดผู้ติดตามของอินฟลูเอนเซอร์จะไม่มีความหมายเลย หากแคมเปญที่พวกเขาดำเนินการมียอด Reach น้อยจนขัดแย้งกับจำนวนผู้ติดตามเกินไป อินฟลูเอนเซอร์ที่ดีจะต้องสามารถเลือก Content ที่เหมาะสมกับแต่ละแพลตฟอร์ม เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของแคมเปญให้ได้มากที่สุด ดังนั้นยอด Reach สัมพันธ์กันกับยอดผู้ติดตามในแต่ละช่องทางมากแค่ไหน อาจเป็นคำถามที่นักการตลาดต้องฉุกคิดทันทีหลังจบแคมเปญ
ยอดผู้ติดตามที่เพิ่มขึ้น (Follower Growth)
สิ่งที่สำคัญกว่ายอดผู้ติดตามคือการเรียนรู้ความซื่อตรงของอินฟลูเอนเซอร์ ยอดผู้ติดตามคือตัวชี้วัดที่จะชี้ว่า ผู้ติดตามเหล่านั้นสนใจโปรไฟล์และ Content ของเขาจริงๆ หรือเปล่า หากเป็นแคมเปญที่ใช้ระยะเวลานาน การพบว่ายอดผู้ติดตามเพิ่มขึ้นนั้นอาจหมายถึง Content ของเขามีคุณค่าและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายหรือขยายกลุ่มได้มากขึ้น ขณะเดียวกันหากผู้ติดตามลดลงนั้นก็อาจหมายถึง Content ของเขาไม่มีคุณค่าหรืออาจขัดแย้งกับความต้องการของผู้ติดตาม
การมีส่วนร่วม (Engagement)
การมีส่วนร่วมของผู้ติดตามคือผลชี้วัดว่าอินฟลูเอนเซอร์นั้นมีอิทธิพลต่อผู้ติดตามอย่างไร ซึ่งจะส่งผลไปถึงการไลค์และการแชร์ รวมไปถึงสามารถสะท้อนได้ว่า ผู้ติดตามของเขามีทัศนคติหรือมุมมองที่ดีต่ออินฟลูเอนเซอร์หรือไม่
กลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มสนใจสินค้าหรือบริการ (Lead Generation)
การรับรู้และการสร้างยอดขายคือสิ่งที่บอกว่าแคมเปญนั้นประสบความสำเร็จหรือไม่ จริงอยู่ที่ว่าหน้าที่ของอินฟลูเอนเซอร์คือช่วยทำให้กลุ่มผู้บริโภครู้จักแบรนด์ผ่านแคมเปญและ Content ต่างๆ แต่หัวใจหลักของการทำแคมเปญนั้นคือการสร้างยอดขาย เราอาจวัดยอดขายจากอินฟลูเอนเซอร์ได้จากการคลิกลิงก์ การทำแบบสอบถาม หรือการแสดงความคิดเห็นของผู้ติดตามตว่าเขาสนใจสินค้านั้นมากแค่ไหนผ่าน Content ที่อินฟลูเอนเซอร์สร้างขึ้นมา
บทส่งท้าย
เพราะผู้บริโภคต้องอยู่ท่ามกลางข่าวสาร และโฆษณามากมายตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน การทำโฆษณาผ่านแบรนด์โดยตรงอาจเข้าไม่ถึงกลุ่มผู้บริโภคได้ จะดีกว่าไหม? ถ้าคุณมีสุดยอดเครื่องมือทางการตลาด ที่เข้าถึงผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง โดยที่พวกเขาไม่รู้สึกถูกยัดเยียดมากเกินไป “Influencer Markering” คือทางออกของการตลาดยุคใหม่ ที่อาจสร้างยอดขายให้คุณได้มากกว่าที่คิด และเฟรนด์ลี่กับผู้บริโภคสุดๆ
อย่ารอที่จะเรียนรู้และทำการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์อย่างจริงจัง เพราะอินฟลูอินเซอร์ที่เหมาะกับแบรนด์ของคุณอาจมีไม่มากนัก และพวกเขาอาจถูกช่วงชิงโดยแบรนด์คู่แข่งของคุณไปเสียก่อน
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับ Influencer Marketing
- Influencer คืออะไร ใช้กลยุทธ์แบบไหนถึงจะปังในการตลาด!
- ทำความรู้จัก ‘Influencer 5 หมวดหมู่ที่เพิ่มขึ้น’ ครอบคลุมทุกการตลาด