หลายคนคงคุ้นเคยหลัก ‘4M ทฤษฎีการจัดการกระบวนการผลิต’ วันนี้ไพรซ์ซ่าอยากแนะนำให้รู้จัก 4M หลักการบริหารการตลาดอินฟลูเอนเซอร์พื้นฐาน เราไปดูกันว่า 4M ที่ว่าประกอบไปด้วยอะไรบ้าง
หัวข้อแนะนำที่น่าสนใจ เลือกอ่านได้เลย
M1 : Make the Influencer
สำหรับขั้นแรกในการทำการตลาดแบบ Influencer Marketing นั่นคือ ‘การสร้าง’ หรือการมองหาสิ่งที่จะมาเชื่อมต่อระหว่างแบรนด์และกลุ่มเป้าหมาย นั่นก็คือการ ‘เลือกอินฟลูเอนเซอร์’ นั่นเอง
สิ่งที่เราต้องพิจารณาเป็นอันดับแรกคือการเฟ้นหาอินฟลูเอนเซอร์ที่จะสามารถผลักดันให้แบรนด์ของเราเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เพียงการสร้าง ‘Awareness’ เท่านั้น แต่ยังต้องเกิด ‘Conversion’ หรือยอดขายให้กับแบรนด์ได้อีกด้วย เพราะฉะนั้นขั้นตอนนี้เราจำเป็นต้องทำการรีเสิร์จข้อมูล และเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่สะท้อนภาพลักษณ์ของแบรนด์ รวมถึงสามารถสื่อสารและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งเสริมให้ถึงเป้าหมายทางการตลาดที่เราตั้งเอาไว้
M2 : Manage the Impact
เมื่อเราได้อินฟลูเอนเซอร์ที่เหมาะสมแล้ว ขั้นถัดมาคือการวางแผนการสื่อสาร และการสร้างคอนเท้นต์ที่สามารถสร้าง ‘Impact’ ให้กับแบรนด์ รวมถึงการวางแผนการจัดการผลลัพธ์ที่ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวังด้วย
ซึ่งการทำงานกันระหว่างแบรนด์และอินฟลูเอนเซอร์ มีการคาดหวังกันคนละแบบ เพราะฉะนั้นเราควรทำ Influencer Brief ซึ่งถือเป็นหัวใจที่สำคัญที่สุด การเขียน ‘บรีฟที่ดี’ ในที่นี้หมายถึงการหาจุดร่วมตรงกลางการทำงานร่วมกันระหว่างแบรนด์และอินฟลูเอนเซอร์ ในควรจะระบุความคาดหวังที่แบรนด์ต้องการให้สมบูรณ์มากที่สุด และเปิดรับอิสระในการทำคอนเท้นต์ตามสไตล์ของอินฟลูเอนเซอร์คนนั้นมากน้อยแค่ไหน ควรระบุทั้งหมดนี้ในบรีฟให้ชัดเจนเพื่อการดำเนินงานเป็นไปอย่างราบรื่นและตรงตามเป้าหมาย แต่อย่างไรก็ตามเราควรวางแผนจัดการผลลัพธ์ที่ไม่ตรงตามเป้าหมายที่วางไว้ด้วย เพื่อไม่ส่งผลกระทบต่อแบรนด์ในภายหลัง
M3 : Monitor the Relationships
เมื่อเราปล่อยคอนเท้นต์ออกไปแล้ว ขั้นถัดมาคือ ‘การมอนิเตอร์’ หรือการติดตามผล ซึ่งเป็น M ตัวที่ 3 ของหลักการบริหาร Influencer Marketing ขั้นตอนนี้เราจะเห็นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างแบรนด์และกลุ่มเป้าหมายผ่านอินฟลูเอนเซอร์ แบรนด์ควรติดตามสร้างบทสนธนาปฎิสัมพันธ์โต้ตอบกับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมมากขึ้น
แบรนด์สามารถสังเกต และเก็บรวบรวมบทสนธนารอบๆแบรนด์ที่เกิดขึ้น ระหว่างอินฟลูเอนเซอร์กับกลุ่มเป้าหมาย หรือแม้กระทั่งระว่างกลุ่มเป้าหมายด้วยกันเอง สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้แบรนด์เห็นถึงภาพรวม แนวโน้มที่สามารถคาดการณ์ รวมถึงฟีทแบคต่างๆเกี่ยวกับแบรนด์ เพื่อที่จะนำมาปรับและประยุกต์ใช้กับแผนกลยุทธ์การตลาดได้ต่อไป
M4 : Measure the Result
ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนสุดท้าย คือ ‘การวัดผล’ เมื่อจบแคมเปญไล่เรียงไปตามหลัก 4M ตั้งแต่ M ที่ 1 จนถึงขึ้นนี้ ถือเป็นขั้นสรุปผลความสำเร็จ ประเมิณกระบวนการทำงานทั้งหมดตลอดแคมเปญ นอกจากนั้นยังนำไปพัฒนากลยุทธ์ในอนาคต
เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยชี้วัดว่าเราสามารถบรรลุไปตามเป้าหมายการตลาดที่เราวางไว้หรือไม่ ซึ่งแบรนด์สามารถใช้ Conversion Rate ในการวัดผลทางการตลาดได้
เป็นอย่างไรบ้างครับ สำหรับหลักการบริหารการตลาด Influencer Marketing จะเห็นได้ว่าทฤษฎีนี้ มีองค์ประกอบหลักในการทำกว้างๆ คือ การค้นหาและคัดเลือกอินฟลูเอนเซอร์ การวางแผนคอนเท้นต์และการสื่อสาร การติดตามและสร้างปฎิสัมพันธ์ และสุดท้ายคือการวัดผลของแคมเปญ เพื่อนๆนักการตลาดท่านไหนกำลังมองหากลยุทธ์การทำการตลาดด้วยอินฟลูเอนเซอร์ เราอยากแนะนำให้ลองเริ่มจากกลัก 4M นี้ก่อนก็ได้ครับ
การทำการตลาดในปัจจุบันไม่ว่าจะใช้กลยุทธ์แบบไหน สิ่งสำคัญจะต้องมีการเก็บข้อมูล เพื่อวัดผลอยู่เสมอ เพื่อให้รู้ว่าแผนธุรกิจที่เรากำลังทำอยู่ตอนนี้ได้ผลตอบแทนจากการลงทุนหรือไม่ และ มีสิ่งไหนจะต้องพัฒนาต่อไปในอนาคต ซึ่งเป้าหมายทางการตลาดแต่ละแบรนด์ไม่เหมือนกัน ตัวชี้วัดหรือการวัดผลทางการตลาดก็มีเครื่องมือหรือตัวชี้วัดที่แตกต่างออกไปเช่นกัน เช่น Engagement , Conversionrate , Traffic หรือยอดวิว เป็นต้น หากแบรนด์หรือนักการตลาดต้องการหาข้อมูลวิธีการวัดผลแคมเปญอินฟลูเอนเซอร์อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ เราแนะนำให้คุณโหลดฟรี E-Book รวมเทคนิค ‘Influencer Marketing’ แนะนำการกำหนดตัวชี้วัด KPI , ROI เพื่อประสิทธิภาพในการวัดผลความคุ้มค่าและผลตอบแทนในการลงทุน ทั้งในแง่ผลลัพธ์การทำงานของอินฟลูเอนเซอร์ รวมไปถึงยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โหลฟรีได้เลยครับ
