
การเติบโตและขยายตัวของธุรกิจไม่ว่าจะในระดับภูมิภาค ระดับสากล หรือระดับโลก จะต้องอาศัยการจัดการซัพพลายเชนที่มีประสิทธิภาพ หนึ่งในนั้นคือ ระบบการขนส่งสินค้า หรือ โลจิสติกส์
โลจิสติกส์มีส่วนสำคัญในการจัดการซัพพลายเชนอย่างมาก ธุรกิจทุกขนาดที่ต้องการประสบความสำเร็จจึงขาดการจัดการขนส่งที่ดีไปไม่ได้ ซึ่งไม่ได้จำเป็นสำหรับเฉพาะธุรกิจขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ยังสำคัญกับธุรกิจขนาดกลาง และขนาดเล็ก ด้วยเช่นกัน เพราะการขนส่งที่มีประสิทธิภาพจะช่วยการลดของเสียและช่วยประหยัดเวลา ทำให้สินค้าถูกส่งมอบไปยังสถานที่ที่ถูกต้องและตรงเวลา สินค้าถึงมือลูกค้าอย่างรวดเร็ว ปลอดภัย และมีคุณภาพ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจที่ต้องการประสบความสำเร็จ
หัวข้อแนะนำที่น่าสนใจ เลือกอ่านได้เลย
Supply Chain คืออะไร
Supply Chain หรือ ห่วงโซอุปทาน หมายถึง กระบวนการต่างๆ ที่ทำให้เกิดสินค้า เริ่มตั้งแต่ก่อนผลิต, หลังผลิต จนไปถึงมือผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็น กระบวนการจัดซื้อ, การผลิต, การจัดเก็บ, เทคโนโลยีสารสนเทศ,การจัดจำหน่าย, และการขนส่ง
ความสําคัญของบริการโลจิสติกส์ต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย
ด้วยเหตุที่เป็นส่วนสำคัญในการส่งสินค้าไปให้ถึงมือผู้บริโภคหรือลูกค้า การขนส่งจึงเป็นกุญแจสำคัญในการทำธุรกิจ และส่งผลต่อเนื่องไปยังระบบเศรษฐกิจ เพราะหากระบบขนส่งสินค้ามีประสิทธิภาพ ธุรกิจก็สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้สภาพเศรษฐกิจโดยรวมดีขึ้นตามไปด้วย
ดังที่กล่าวไปว่าการขนส่งเป็นองค์ประกอบของการจัดการซัพพลายเชน ซึ่งมีความสำคัญต่อการเติบโตของธุรกิจ และการขนส่งก็เป็นส่วนหนึ่งที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งในกระบวนการนี้ เพราะเป็นกระบวนการที่หากวางแผนไม่ได้อาจทำให้ต้นทุนสูงเกินความจำเป็น รวมถึงเสียเวลา ทำให้เกิดความล่าช้าซึ่งอาจทำลูกค้าไม่พอใจ และถ้าหากเกิดความผิดพลาดใดๆ ที่ส่งผลร้ายแรง สิ่งที่ทำมาทั้งหมดตั้งแต่กระบวนการผลิตก็สูญเปล่า ดังนั้นในการจัดการระบบขนส่งสินค้าจึงต้องวางแผนให้รอบคอบ และคำนึงถึงหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็น วิธีการขนส่งที่เหมาะสม การจัดวางสินค้าให้ปลอดภัยในระหว่างขนส่ง การวางแผนเส้นทาง การคำนวณเวลา การเลือกคน เป็นต้น
เนื่องจากในการจัดการการขนส่งสินค้าให้มีประสิทธิภาพนั้นต้องใช้การวางแผนที่ดีและรอบคอบ หากไม่มีทรัพยากรบุคคลที่ชำนาญในองค์กรหรือธุรกิจขนาดเล็กที่ไม่ได้มีต้นทุนไปจ้างคนมาช่วยทำงานด้านนี้ได้ก็อาจทำให้โอกาสเติบโตเป็นไปได้ยาก ดังนั้นเพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น เจ้าของธุรกิจจึงต้องอาศัยผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านการขนส่งเข้ามาช่วย นั่นคือ ผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ นั่นเอง
เมื่อก่อนผู้ให้บริการขนส่งสินค้าที่เรารู้จักกันดีคือ ไปรษณีย์ไทย หรือหากต้องการขนส่งสินค้าแบบเร่งด่วนวันเดียวถึงก็อาจใช้บริการรถโดยสารต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้สะดวกเท่าไหร่นัก เพราะเราต้องเดินทางไปส่งเอง หรือหากจ้างคนไปส่งให้ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มอีก อีกวิธีหนึ่งที่ง่ายและไวคือการจ้างรถขนส่งสินค้า ซึ่งแน่นอนว่าย่อมต้องจ่ายเงินเยอะตามไปด้วยเช่นกัน
แต่ในปัจจุบันปัญหานี้มีทางออกแล้ว ด้วยผู้ให้บริการโลจิสติกส์มากมายเกิดขึ้น ทำให้ธุรกิจต่าง ๆ ประหยัดเวลาในการจัดการการขนส่งสินค้าซึ่งเป็นส่วนที่ยุ่งยากที่สุดออกไปได้ ส่งผลให้การทำธุรกิจราบรื่นขึ้น ขยายตัวได้เร็วขึ้น และเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอนว่าเมื่อหลายๆ ธุรกิจขยายตัว กระบวนการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องก็ขยายตาม และที่สำคัญที่สุดคือทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศเติบโตตามไปด้วยเช่นกัน
มูลค่าตลาดขนส่งพัสดุของไทยแต่ละปี
จากพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปในยุคดิจิทัลและการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ชที่สอดคล้องกัน ส่งผลให้ตลาดการขนส่งในไทยมีมูลค่าสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
จากการวิเคราะห์ของ SCB: Economic Intelligence Center โดยการคำนวณจากบริษัทขนส่งพัสดุในไทยรายใหญ่ประมาณ 22 ราย ในช่วงระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา 2017-2019 พบว่ามูลค่าตลาดขนส่งในไทยมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ย 40 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ซึ่งอย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่าผลของการขยายตัวนี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น
การเติบโตของมูลค่าตลาดขนส่งพัสดุของไทย
- ปี 2015 มีมูลค่า 1.4 หมื่นล้านบาท
- ปี 2016 เพิ่มขึ้นเป็น 1.8 หมื่นล้านบาท
- ปี 2017 เพิ่มขึ้นเป็น 2.5 หมื่นล้านบาท
- ปี 2018 มีมูลค่าถึง 3.5 หมื่นล้านบาท
- ปี 2019 เพิ่มขึ้นเป็น 4.9 หมื่นล้านบาท
- ปี 2020 คาดว่าธุรกิจขนส่งพัสดุของไทยจะมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องราว 35% (YOY) จากการขยายตัวของตลาดออนไลน์ โดยคิดเป็นมูลค่า 6.6 หมื่นล้านบาท
จากตัวเลขการเติบโตที่ไปได้สวยของธุรกิจการขนส่งพัสดุ ทำให้ในปัจจุบันธุรกิจนี้มีผู้อยากเข้ามาร่วมแข่งขันมากขึ้น การแข่งขันจึงรุนแรงขึ้นโดยเฉพาะด้านราคา
การแข่งขันด้านราคาของบริการในตลาดโลจิสติกส์
ปี 2018 ในตลาดขนส่งพัสดุมีผู้ประกอบการรายใหญ่ที่เรารู้จักกันดีอยู่ 3 รายที่ครองส่วนแบ่งการตลาดร่วมกันกว่า 80% ได้แก่
ไปรษณีย์ไทย 41%, Kerry Express 39% , และ Lazada Express 8%
และยังมีผู้ให้บริการขนาดกลาง เช่น DHL, SCG Express, Ninja Van, Nim Express, SCG Express และบริษัทจากต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในไทย ได้แก่ J&T Express จากอินโดนีเซีย, Best logistics จากจีน ที่มี Alibaba เป็นหุ้นส่วน , CJ Logistics จากเกาหลีที่ร่วมทุนกับ JWD ของไทย และผู้ประกอบการรายย่อยอื่นๆ มาร่วมเป็นส่วนแบ่งการตลาดที่เหลือ
เนื่องจากการแข่งขันที่สูงขึ้น ผู้ประกอบการแต่ละรายจึงหาวิธีดึงดูดลูกค้าให้ได้มากที่สุด หนึ่งในวิธีเหล่านั้น คือ การลดราคาค่าขนส่งให้ต่ำลงเพื่อให้ลูกค้าเลือกใช้บริการของตัวเองมากขึ้น
อัตราค่าบริการขนส่งเริ่มต้นของผู้ประกอบการแต่ละรายในแต่ละปี
- ปี 2015 มีแค่ผู้ให้บริการรายใหญ่ 2 ราย คือ ไปรษณีย์ไทย 32 บาท/ชิ้น และ Kerry Express 40 บาท/ชิ้น มีค่าขนส่งเฉลี่ยอยู่ที่ 36 บาท/ชิ้น
- ปี 2016 ยังมีแค่ผู้ให้บริการรายใหญ่ 2 รายเช่นเดิม โดยค่าบริการของไปรษณีย์ไทย 32 บาท/ชิ้น เท่าเดิม แต่ Kerry Express ลดราคาลงมาเป็นประมาณ 35 บาท/ชิ้น มีค่าขนส่งเฉลี่ยอยู่ที่ 34 บาท/ชิ้น
- ปี 2017 ไปรษณีย์ไทยยังคงค่าบริการเท่าเดิม คือ 32 บาท/ชิ้น ส่วน Kerry Expressลดราคาลงมาที่ 30 บาท/ชิ้น และมีผู้ให้บริการรายใหม่ SCG Express 40 บาท/ชิ้น, และ Ninja Van 30 บาท/ชิ้น ค่าขนส่งเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 33 บาท/ชิ้น
- ปี 2018 ไปรษณีย์ไทย 32 บาท/ชิ้น, Kerry Express30 บาท/ชิ้น, SCG Express 40 บาท/ชิ้น, Ninja Van ปรับขึ้นเป็น 35 บาท/ชิ้น และมีผู้ให้บริการรายใหม่เพิ่มขึ้นมา คือ Flash Express ราคา 25 บาท/ชิ้น ค่าขนส่งเฉลี่ยอยู่ที่ 32 บาท/ชิ้น
- ปี 2019 ไปรษณีย์ไทยลดราคาเริ่มต้นลงมาเป็น 25 บาท/ชิ้น, Kerry Express 30 บาท/ชิ้น, SCG Express 40 บาท/ชิ้น, Ninja Van ปรับลงมาเป็น 35 บาท/ชิ้น เท่าเดิม, ส่วน Flash Express ก็ยังคง ราคา 25 บาท/ชิ้น เท่าเดิม และในปีนี้มีผู้ให้บริการรายใหม่มาแรงเพิ่มขึ้นอีก คือ J&T Express ในราคาเริ่มต้นเพียง 19 บาท/ชิ้น ค่าขนส่งเฉลี่ยอยู่ที่ 27 บาท/ชิ้น
จะเห็นได้ว่าค่าบริการขนส่งของแต่ละผู้ให้บริการรายหลักๆ ในไทยตอนนี้ลดลงเรื่อย ๆ ยิ่งมีการแข่งขันสูงก็ยิ่งลดลง ซึ่งทำให้ผลประโยชน์ตกไปอยู่ที่ผู้ใช้บริการ เพราะจะได้จ่ายค่าขนส่งสินค้าในราคาถูกลง ช่วยลดต้นทุนในการประกอบธุรกิจ อีกทั้งยังมีผู้บริการขนส่งสินค้าให้เลือกมากมาย
ทางรอดของบริษัทขนส่งในช่วงการแข่งขันสูง
นอกจากการการแข่งขันในด้านราคาแล้ว ผู้ให้บริการขนส่งจะต้องพัฒนาตัวเองให้ผู้ใช้บริการพึงพอใจมากที่สุด เพราะถึงแม้ราคาถูกใจแต่ส่งของช้าหรือสินค้าถึงมือลูกค้าในสภาพพังยับเยิน เรื่องราคาก็ไม่ได้ช่วยอะไร เนื่องจากมีผู้ให้บริการขนส่งเกิดขึ้นใหม่มากมายให้ผู้ใช้ได้เลือก รายใดที่ให้บริการไม่ดีและไม่พัฒนาระบบ อาจต้องถูกกลืนหายไป
- บริการมีคุณภาพ คุณภาพที่ดีของบริการขนส่งไม่ใช่เพียงแค่การส่งของให้ถึงมือผู้รับ แต่หมายถึงคุณภาพในทุกขั้นตอนของกระบวนการขนส่งตั้งแต่การรับสินค้า การจัดเก็บอย่างมีระบบก่อนส่ง ความปลอดภัยของสินค้าในระหว่างการขนส่ง ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่สิ่งสำคัญที่สุดคือสินค้าหรือสิ่งของมีสภาพใดตอนมาจากต้นทางต้องส่งถึงปลายทางโดยมีสภาพคงเดิม ไม่เสียหายหรือสูญหายกลางทาง
- ให้ความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการ ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีมากมายที่ทำให้การทำงานต่าง ๆ สะดวกยิ่งขึ้น ในระบบการขนส่งก็เช่นกัน ผู้ให้บริการสามารถใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการทำให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายในการใช้บริการมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระบบการติดตามสินค้าแบบเรียลไทม์, บริการสอบถามข้อมูลได้ตลอด 24 ชั่วโมง, ช่องทางการติดต่อที่หลากหลาย, มีแอปพลิเคชั่นที่ใช้งานง่ายไม่สับสน, สามารถเรียกรถมารับของได้แบบออนไลน์ เป็นต้น
- มีความรวดเร็ว สิ่งที่ผู้ใช้บริการขนส่งสินค้าต้องการมากที่สุดคือความรวดเร็ว ในราคาที่เท่ากัน ผู้ให้บริการรายใดส่งได้ไวกว่าก็ชนะไป และยิ่งมีคุณภาพด้วยแล้วก็ยิ่งชนะขาด ดังนั้นผู้ให้บริการแต่ละรายจึงต้องมีการวางแผนการขนส่งให้ดีทั้งเรื่องบุคลากร เทคโนโลยี เส้นทาง ยานพาหนะ เพื่อให้พัสดุส่งถึงผู้รับได้ไวที่สุด
- เป็นพันธมิตรกับแพลตฟอร์มออนไลน์ ในเวลานี้ใครๆ ก็รู้ว่าแพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์นั้นเติบโตแค่ไหนจากพฤติกรรมการซื้อของผู้คนในปัจจุบัน เห็นได้จาก Lazada และ Shopee ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก หากผู้ให้บริการขนส่งสามารถร่วมมือกับแพลตฟอร์มออนไลน์เหล่านี้ได้ ก็หมายความว่าผู้ให้บริการรายนั้นจะมีผู้ใช้บริการเป็นจำนวนมากทุกวันอย่างแน่นอน
- ยกระดับการบริการและเน้นการให้บริการพิเศษ บางครั้งคนเราก็ต้องการส่งของที่มีความพิเศษและส่งได้ยากกว่าของชนิดอื่น การเน้นไปตอบโจทย์เฉพาะกลุ่มจะทำให้เกิดความแตกต่าง ยกตัวอย่างเช่น เน้นการส่งของสด 24 ชั่วโมง แบบการันตีว่าผู้รับจะได้รับของในเวลาอันรวดเร็วเหมือนรับจากมือผู้ส่ง, หรือบริการส่งของระดับพรีเมี่ยม รับรองความปลอดภัย 100% เป็นต้น
การเติบโตของธุรกิจขนส่งสินค้าจะยังคงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคตตราบใดที่ตลาดอีคอมเมิร์ชยังคงไปได้สวยแต่สิ่งหนึ่งที่มาพร้อมการเติบโตคือความท้าทาย ทั้งในเรื่องของการพัฒนาการบริการของตนเองให้เท่าทันยุคสมัยและการสู้กับคู่แข่งที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน แต่ถึงอย่างไรหากผู้ประกอบการมีการปรับปรุงและพัฒนาการบริการอย่างต่อเนื่องแล้วก็จะทำให้สามารถอยู่รอดในการแข่งขันที่ค่อนข้างรุนแรงได้
Source: scbeic bltbangkok positioningmag brandbuffet
สนใจเริ่มต้นขายของออนไลน์ โดยให้ Priceza เป็นผู้ช่วยให้คำปรึกษา? สามารถกรอกแบบฟอร์มด้านล่างเพื่อให้เราทราบว่าคุณต้องการให้เราช่วยในด้านไหนได้เลยค่ะ