
บางครั้งสินค้าที่เราต้องการก็ไม่มีในประเทศ จึงจำเป็นต้องซื้อหาจากประเทศอื่น เราคงไม่ต้องคิดมากหากการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศนั้นเป็นเพียงแค่การจ่ายเงินค่าสินค้าแล้วจบ แต่ความจริงแล้วขั้นตอนการซื้อ-ขายสินค้าต่างประเทศมันมีมากกว่านั้น เพราะการจะนำของจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศใด ๆ จำเป็นต้องเสียภาษี
หัวข้อแนะนำที่น่าสนใจ เลือกอ่านได้เลย
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax) หรือ VAT
การเก็บภาษีจากการจำหน่ายสินค้าหรือบริการ ทั้งในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ โดยกรมสรรพากร ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยมีอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ที่ 7%
ภาษีนำเข้าหรืออากรขาเข้า
ภาษีที่รัฐเรียกเก็บจากผู้นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ เพื่อนำไปพัฒนาประเทศ อีกส่วนหนึ่งคือเพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศ ไม่ให้สินค้าจากประเทศอื่นหลั่งไหลเข้ามามากเกินไปจนทำให้สินค้าในประเทศขายไม่ออก และเพื่อการจำกัดการบริโภคสินค้าที่ไม่จำเป็นมากเกินไปของประชาชนในประเทศ โดยสินค้าแต่ละประเภทก็จะมีอัตราภาษีที่แตกต่างกัน สินค้าบางอย่างก็ได้รับการยกเว้นภาษี เช่น เครื่องจักรการผลิต ที่รัฐบาลยกเว้นการเก็บภาษี เพื่อเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมภายในประเทศ ซึ่งสินค้านำเข้าที่ต้องเสียภาษีนั้น จะได้รับการพิจารณาเป็นกรณีไป แบ่งออกเป็น
- การเรียกเก็บภาษีตามสภาพ หมายถึง อัตราภาษีที่เรียกเก็บตามจำนวนหรือปริมาณของสินค้าที่นำเข้ามา ภาษีน้ำมันที่คิดเป็นลิตร เป็นต้น
- การเรียกเก็บภาษีตามราคา หมายถึง อัตราที่เรียกเก็บตามตามร้อยละของราคาศุลกากร เช่น รองเท้านำเข้า เสียภาษี 30 % ของราคาตามใบเสร็จ + ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%
หากใครกำลังวางแผนที่จะทำธุรกิจนำสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาขายหรือสั่งสินค้าออนไลน์จากต่างประเทศมาใช้ส่วนตัวบ่อย ๆ ก็ต้องรู้เรื่องภาษีไว้ เพราะบางครั้งสินค้าที่เราเห็นว่าราคาถูก คิดว่าจะนำมาขายได้กำไร หรือได้ของใช้ในราคาถูก แต่เมื่อบวกภาษีเข้าไปแล้วอาจราคาสูงกว่าที่คิด และหากใครหลบเลี่ยงการจ่ายภาษีแล้วหน่วยงานที่รับผิดชอบตรวจสอบได้เมื่อไหร่ ก็จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
การเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ
สินค้าทุกอย่างที่นำเข้ามาในประเทศ จะถูกคัดแยกออกเป็น 3 ประเภท และนำไปดำเนินการตามพิธีการศุลกากร ดังนี้
- สินค้าที่มีราคารวมค่าขนส่งและค่าประกันภัย (ราคา CIF) แล้วไม่เกิน 1,500 บาท หรือสินค้าตัวอย่างที่ไม่มีราคาในทางการค้า จะได้รับการยกเว้นทั้งอากรขาเข้า ภาษีสรรพสามิต และภาษีมูลค่าเพิ่ม
- สินค้าที่มีมูลค่าสูงกว่า 1 พันบาท แต่ไม่เกิน 4 หมื่นบาท ต้องชำระอากรขาเข้า โดยเจ้าหน้าที่ศุลกากรจะเปิดตรวจสินค้าเพื่อประเมินราคาและค่าภาษีอากร
- สินค้ามีมูลค่าสูงกว่า 4 หมื่นบาท ผู้รับสินค้าจะต้องจ่ายภาษีอากรขาเข้าตามที่ศุลกากรประเมิน และทำใบขนส่งสินค้าขาเข้าด้วย
ในยุคดิจิตอลที่คนเราสามารถซื้อของออนไลน์ได้ง่าย ใครก็สามารถสั่งซื้อสินค้าจากที่ไหนก็ได้ ทำให้คนสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศมากขึ้นโดยเฉพาะจากจีน และสหรัฐอเมริกา ทำให้ผู้ผลิตและขายสินค้าภายในประเทศเดือดร้อนไปตามๆ กัน
เนื่องด้วยเรื่องที่ต้องเสียเงินเพิ่มขึ้นและมีขั้นตอนต่าง ๆ ในการดำเนินการกว่าจะได้รับสินค้า ส่งผลให้ผู้ที่สั่งสินค้าจากต่างประเทศบางส่วนหาทางหลบเลี่ยงการจ่ายภาษีด้วยวิธีต่าง ๆ เพื่อลดต้นทุนและไม่ต้องเสียเวลาไปดำเนินการเรื่องภาษี เช่น การแจ้งราคาต่ำเกินจริง, การแตกบิลสินค้ามูลค่าสูงให้เป็นราคาต่ำไม่เกิน 1,000 บาท หลายๆ ชิ้น, ให้ผู้ขายระบุหน้ากล่องว่าเป็นของขวัญ เป็นต้น
การเก็บภาษีนำเข้าสินค้าออนไลน์แบบใหม่
อย่างที่ได้กล่าวไปว่าการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์นอกจากจะทำให้พ่อค้าแม่ค้าเดือดร้อนแล้ว ยังพบว่ามีการหลบเลี่ยงภาษีนำเข้า ทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้เป็นจำนวนมาก กระทรวงการคลังจึงมีการปฏิรูปโครงสร้างภาษีใหม่ โดยการยกเลิกการเว้นการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับสินค้านำเข้าที่มีมูลค่าไม่เกิน 1,500 บาท และเปลี่ยนเป็นกำหนดให้มีการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% กับสินค้าที่สั่งออนไลน์และส่งไปรษณีย์มาจากต่างประเทศทุกชนิด ทุกราคา หรือเรียกว่า ภาษีนำเข้าสินค้าออนไลน์เสียตั้งแต่บาทแรก นั่นเอง
นอกจากนั้นในแผนปฏิรูปการเก็บภาษีแบบใหม่นี้ยังมีการพัฒนาไปอีกขั้น โดยเปลี่ยนจากการสุ่มตรวจมาเป็นการใช้เทคโนโลยีสแกนสินค้าที่นำเข้ามาแบบ 100% ซึ่งจะช่วยให้สามารถตรวจสินค้านำเข้าได้อย่างละเอียดและลดการหลบเลี่ยงภาษีได้มากขึ้น
การปรับเปลี่ยนนี้อาจทำให้ผู้ที่สั่งสินค้าจากต่างประเทศมาขายและนักช้อปออนไลน์ต้องหันมาใส่ใจและศึกษาเกี่ยวกับเรื่องภาษีให้มากขึ้น เพื่อการจ่ายภาษีอย่างถูกต้องและรู้ว่าตัวเองจะต้องจ่ายภาษีเท่าไหร่ในการสั่งซื้อสินค้าแต่ละครั้ง เมื่อสินค้ารวมภาษีแล้วคุ้มค่าหรือไม่ สำหรับผู้ค้าก็ช่วยให้สามารถตั้งราคาขายได้แบบไม่ขาดทุน
การคำนวณภาษีนำเข้า
เมื่อต่อไปหากเราต้องเสียภาษีนำเข้าสินค้าที่สั่งมากจากต่างประเทศตั้งแต่บาทแรก สิ่งสำคัญที่เราต้องรู้ คือ การคำนวณภาษี
การคิดภาษีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศจะใช้ราคา CIF ในการคำนวณ
C = Cost ราคาสินค้า
I = Insurance ค่าประกันภัย หากไม่ได้ทำประกันภัย ส่วนนี้จะถูกคิดเป็น 1% ของราคาสินค้า
F = Freight ค่าขนส่งระหว่างประเทศ
ดังนั้นราคา CIF จึงหมายถึง ราคาที่รวมค่าสินค้า ค่าประกันภัย และค่าขนส่งแล้ว นั่นเอง
วิธีคำนวณ
- สินค้าราคา CIF ไม่เกิน 1,500 บาท
ราคา CIF x ภาษีมูลค่าเพิ่ม = ภาษีที่ต้องจ่าย - สินค้าราคา CIF เกิน 1,500 ขึ้นไป
ราคา CIF x อัตราภาษีขาเข้า = ภาษีขาเข้าที่ต้องจ่าย
(ภาษีขาเข้าที่ต้องจ่าย + ราคา CIF) x อัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม = ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ภาษีขาเข้า + ภาษีมูลค่าเพิ่ม = ค่าภาษีนำเข้าสินค้าทั้งหมดที่ต้องจ่าย
ตัวอย่าง
- ราคา CIF ของสินค้าไม่เกิน 1,500 เช่น
สั่งซื้อเครื่องสำอางราคา 1,000 บาท + ค่าประกันภัย 1% (10 บาท) + 300 บาท
ราคา CIF = 1,310
ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องจ่าย = 1,310 x 7% = 91.7 บาท - สินค้าราคาสูงเกิน เช่น
สั่งซื้อรองเท้าราคา 20,000 บาท + ค่าประกันภัย 1% (200 บาท) + 3,000 บาท
ราคา CIF = 23,200 บาท
ภาษีขาเข้าที่ต้องจ่าย = 23,200 x อัตราภาษี 30% = 6,960 บาท
ภาษีมูลค่าเพิ่ม = (6,960 + 23,200) x 7% = 8,584 บาท
ภาษีทั้งหมดที่ต้องจ่าย = 6,960 + 8,584 = 15,544 บาท
หากต้องการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศเพื่อนำเข้ามาจำหน่ายหรือใช้ส่วนตัว ก็ต้องทำใจยอมรับกับภาษีที่ต้องจ่ายเพิ่มด้วย เพราะฉะนั้นก่อนสั่งต้องคำนวณราคาสินค้าบวกภาษีทุกครั้ง จะได้รู้ว่าเงินที่เราต้องจ่ายจริง ๆ สำหรับสินค้าชิ้นนั้นๆ คือเท่าไหร่ ถูกกว่าซื้อในประเทศแค่ไหน หรือคำนวณแล้วซื้อในประเทศดีกว่า ทำให้เราไม่ต้องเสียเงินเพิ่มโดยไม่จำเป็น
Source: กรมสรรพากร กรมศุลากร postconnex
สนใจเริ่มต้นขายของออนไลน์ โดยให้ Priceza เป็นผู้ช่วยให้คำปรึกษา? สามารถกรอกแบบฟอร์มด้านล่างเพื่อให้เราทราบว่าคุณต้องการให้เราช่วยในด้านไหนได้เลยค่ะ