
จากรายงานของ Singapore Business Review ได้กล่าวถึงการคาดการณ์จากธนาคาร Credit Suisse ว่า มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซในภูมิภาค ASEAN จะเติบโตอีกกว่า 32% หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 90 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2025 โดยมีข้อมูลที่น่าสนใจคือ อินโดนีเซีย เป็นประเทศที่ถูกระบุว่า มีแนวโน้มเติบโตสูงที่สุดในช่วง 5-10 ปีข้างหน้า โดยคาดการณ์การใช้จ่ายในอีคอมเมิร์ซเฉพาะในอินโดนีเซีย คิดเป็น 46 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 50% จากการมูลค่าอีคอมเมิร์ซของทั้ง ASEAN ภายในปี 2025
ทั้งนี้ เนื่องจากอินโดนีเซียมีจำนวนประชากร มากกว่า 260 ล้านคน ซึ่งนับเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรมากเป็นอันดับสี่ของโลก จึงส่งผลโดยตรงถึงขนาดของตลาดอีคอมเมิร์ซที่ประกอบด้วยประชากรระดับรายได้ปานกลาง และกลุ่มผู้บริโภคอายุน้อยที่กำลังมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น รวมถึงความนิยมในการใช้สมาร์ทโฟน และการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตที่มีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งข้อมูลข้างต้นสอดคล้องกับรายงานจาก Indonesia Business ในเดือนสิงหาคม 2018 ที่คาดการณ์มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซในอินโดนีเซียไว้ที่ 55-64 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2022 ซึ่งนับเป็น 8 เท่าของมูลค่าในปี 2017 ที่ตลาดอีคอมเมิร์ซในอินโดนีเซีย มีมูลค่า 8 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ จากจำนวนผู้บริโภคออนไลน์ 30 ล้านคน หรือ 15% จากกลุ่มเป้าหมาย 195 ล้านคน
โดยเทรนด์การใช้งานของผู้บริโภคในอินโดนีเซีย พบว่า มีความนิยมในการใช้งานบนอีคอมเมิร์ซแพลตฟอร์มมากขึ้น จากในปี 2014 ที่ธุรกรรมกว่าครึ่งอยู่บนโซเชียลมีเดีย โดยการสำรวจในปี 2017 พบว่าธุรกรรมบนโซเชียลมีเดีย ลดลงไปอยู่ที่ 36%
ทั้งนี้ รายงานของ e27 ได้กล่าวถึงหนึ่งในเทรนด์ของอีคอมเมิร์ซในอินโดนีเซียไว้ว่า
ผู้บริโภคนิยมใช้งานบนแพลตฟอร์มที่ให้บริการโดยบริษัทอินโดนีเซียด้วยกันเอง
ซึ่งได้แก่ Tokopedia, Elevenia, Bukalapak, Blibli, Alfacart, Mataharimall และ Bhinneka
หัวข้อแนะนำที่น่าสนใจ เลือกอ่านได้เลย
อีคอมเมิร์ซที่ได้รับเงินสนับสนุน
ด้วยความคาดการณ์ถึงการขยายตัวของตลาดอีคอมเมิร์ซในอินโดนีเซียข้างต้น ย่อมดึงดูดนักลงทุนทั้งในและนอกประเทศ มีผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซสัญชาติอินโดนีเซียที่ได้รับเงินสนับสนุนผ่านการระดมทุนอยู่หลายบริษัท โดยอีคอมเมิร์ซที่น่าจับตามองได้แก่
Tokopedia
มาร์เก็ตเพลสที่เติบโตเร็วที่สุดในกลุ่มอีคอมเมิร์ซของอินโดนีเซีย หลังการก่อตั้งในปี 2009 Tokopedia ได้รับเงินสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
- เริ่มจาก East Ventures ในปี 2010
- CyberAgent Venture ในปี 2011
- NetPrice ในปี 2012
- และ SoftBank Ventures Korea ในปี 2013
- ในปี 2014 Tokopedia ได้รับเงินลงทุนจำนวน 100 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐจาก Sequoia Capital และ SoftBank Internet and Media Inc.
- และอีก 147 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐในปี 2016 จากแหล่งเงินทุนไม่ระบุชื่อ
- จากนั้นในปี 2017 บริษัทได้รับเงินลงทุนจาก Alibaba จำนวน 1.1 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ
- และล่าสุดในปี 2018 Tokopedia ระดมเงินทุน 1.1 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐจาก Alibaba และ SoftBank’s Vision
กล่าวกันว่า Tokopedia นับเป็น Taobao แห่งอินโดนีเซียเลยทีเดียว เพราะเป็นผู้นำตลาดอีคอมเมิร์ซสัญชาติอินโดนีเซีย
ที่มีจำนวนร้านค้าบนแพลตฟอร์มกว่า 4 ล้านร้านค้า 80 ล้านผู้ซื้อต่อเดือน ด้วยสินค้ากว่า 4.9 ล้านรายการ ใน 25 หมวดหมู่ มีจำนวนธุรกรรมมากกว่า 5 ล้านรายการต่อเดือน Tokopedia มีมูลค่า 7 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐในปี 2018 โดยให้บริการเป็นมาร์เก็ตเพลส สนับสนุนธุรกิจแบบ C2C ทั้งยังให้บริการด้านเครดิต การจ่ายบิล ตั๋ว คูปอง รวมไปถึงบริการทางด้าน fintech อย่าง digital wallets และการกู้ยืมอีกด้วย
Bukalapak
ยูนิคอร์นตัวล่าสุดของอินโดนีเซีย ที่เพิ่งได้รับทุนสนับสนุนจำนวน 50 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ใน Series G จาก Mirae Asset-Naver Asia Growth Fund ซึ่งเป็นกองทุนรวมระหว่าง Mirae Asset และ Naver โดย Bukalapak ก่อตั้งเมื่อปี 2010 ด้วยจำนวนผู้ใช้งาน 50 ล้านคน และธุรกรรมจำนวน 2 ล้านคำสั่งต่อวัน ปัจจุบัน มีมูลค่าประเมินที่ 1 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ โดยมีแผนในการสร้างแพลตฟอร์มให้ครอบคลุมบริการมากขึ้นอย่างธุรกิจประกันภัยออนไลน์ และ mobile wallet นอกจากการให้บริการเป็นมาร์เก็ตเพลสแล้ว Bukalapak ยังให้บริการด้าน fintech อีกด้วย
นอกจากนี้แล้ว ยังมีอีคอมเมิร์ซเจ้าอื่นๆ ที่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินผ่านการระดมทุน เช่น
MatahariMall
ก่อตั้งในปี 2014 โดยเน้นสินค้าด้านแฟชั่น, สุขภาพและความงาม, อิเลกทรอนิกส์, สินค้าอุปโภค บริโภค, หนังสือ และหมวดบันเทิง โดยเป็นอีคอมเมิร์ซเจ้าแรกใน Southeast Asia ที่ให้บริการ online to offline ซึ่งหมายถึง ลูกค้าสามารถสั่งสินค้าบนระบบออนไลน์ และไปรับสินค้าได้ที่ห้างในภายหลัง โดย MatahariMall ได้รับเงินลงทุนจาก Lippo Group ในปี 2015 เป็นมูลค่า 16 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ และจาก Mitsut Group ในปี 2016 อีก 100 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ
Orami
ก่อตั้งในปี 2016 ด้วยบริการสินค้าเกี่ยวกับของใช้ในบ้าน แฟชั่น แม่และเด็ก เฟอร์นิเจอร์ โดยมีตลาดในอินโดนีเซียและไทย โดยมีแผนการที่จะโฟกัสกลุ่มผู้บริโภคผู้หญิงใน Southeast Asia, Orami ได้รับทุนเริ่มต้น 15 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐซึ่งนำโดย Sinar Mas Digital Venture และได้รับเงินลงทุนอีกครั้งใน series B ในปี 2016
HappyFresh
ก่อตั้งในปี 2014 ด้วยบริการนำส่งสินค้าอุปโภค บริโภคที่ลูกค้าสั่งผ่าน application จากร้านค้าใกล้บ้าน ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นจาก MPGI Holding Ltd., Ardent Capital และ Cherry Ventures จากนั้นได้รับเงินลงทุนอีก 12 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ใน Series A นำโดย Vertex Ventures ในปี 2015, โดยภายหลังในปี 2016 ก็ได้รับเงินลงทุนอีกครั้ง ใน Series B นำโดย Sameena Capital, Sinar Mas Digital Ventures
จากแนวโน้มด้านการขยายตัวของตลาด และจำนวนผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซ ก็นับได้ว่าอินโดนีเซีย เป็นอีกหนึ่งตลาดอีคอมเมิร์ซในภูมิภาค Southeast Asia ที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ผลิตไทยจะสามารถขยายตลาดและสร้างโอกาสทางธุรกิจได้มากขึ้น
สนใจเริ่มต้นขายของออนไลน์ โดยให้ Priceza เป็นผู้ช่วยให้คำปรึกษา? สามารถกรอกแบบฟอร์มด้านล่างเพื่อให้เราทราบว่าคุณต้องการให้เราช่วยในด้านไหนได้เลยค่ะ