หลังจาก Nike ประสบปัญหาจากการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด 19 ทำให้ Nike ต้องปิดสาขากว่า 5,000 แห่งในประเทศจีน แต่ด้วยการลงทุนด้าน e-commerce หรือการมุ่งเน้นขายออนไลน์ ทำให้ Nike ไม่ถือว่าย่ำแย่มากนัก
ยอดขายช่องทางออนไลน์ของ Nike ในระหว่างปิดสาขา มียอดขายเติบโตมากกว่า 30% เลยทีเดียว นอกจากนี้สัดส่วนมูลค่าอีคอมเมิร์ซของ Nike ยังมีมูลค่ามากถึง 20% ของยอดขายทั้งหมดอีกด้วย
หากยังไม่เห็นภาพว่ามากน้อยขนาดไหน ลองเทียบกับแบรนด์ Central Retail ซึ่งมีสัดส่วนยอดขายอีคอมเมิร์ซเพียง 1.4% หรือ JIB Computer ที่มีสัดส่วนยอดขายอีคอมเมิร์ซประมาณ 11% เท่านั้น จะเห็นภาพได้ว่า Nike มีสัดส่วนยอดขายอีคอมเมิร์ซไม่น้อยเลยทีเดียว
Nike ทำอย่างไรให้สัดส่วนยอดขายอีคอมเมิร์ซเติบโตอย่างรวดเร็ว
Nike ใช้วิธี Direct-to-consumer (DTC) คือ แบรนด์ทำการตลาดโดยตรงกับลูกค้า ซึ่งในยุคดิจิทัลทำให้แบรนด์มีความใกล้ชิดกับลูกค้ามากยิ่งขึ้น สิ่งที่ Nike นำประโยชน์ด้านดิจิทัลมาใช้เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าคือ การสร้าง Nike Application
ลงทุน 1 พันล้านเหรียญ เพื่อสร้างระบบการค้าออนไลน์ให้เติบโตเฉลี่ย 36% ต่อปี
Nike ได้ลงทุนพัฒนาระบบการค้าออนไลน์กว่า 1 พันล้านเหรียญเพื่อสร้างระบบนิเวศที่ชื่อว่า Nike Application ซึ่งมี 3 ฟีเจอร์หลักๆ ดังนี้
1. Omni Channel
ช่องทางการซื้อสินค้าผ่านหน้าร้าน(ออฟไลน์) และออนไลน์ต้องหลอมรวมเข้าด้วยกัน คือเมื่อคุณมีแอปพลิเคชั่นของ Nike ภายในแอปนั้นนอกจากคุณจะสามารถซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ได้ สิ่งที่พิเศษคือหากคุณเดินเข้าไปในร้านค้า (ณ ปัจจุบันมีเพียงบางสาขาเท่านั้น) แอปพลิเคชั่นจะมีการเรียนรู้ว่าคุณได้เข้าไปในช้อปนั้นๆแล้ว และฟีเจอร์หน้าตาของแอปพลิเคชั่นจะมีการปรับเปลี่ยนเพื่อตอบสนองความต้องการของคุณภายในช้อปมากขึ้น
ปรับเปลี่ยนอย่างไร?
ฟีเจอร์แรก Nike Scan เมื่อคนเดินเข้าไปในโซนรองเท้ากีฬา และหากพนักงานต้อนรับกำลังยุ่งมากๆหรือมีลูกค้าในร้านแน่นมาก จนไม่สามารถที่จะให้บริการคุณได้ คุณสามารถใช้ Application นั้นสแกนบาร์โค้ดในรองเท้าเพื่อเลือกรุ่นรองเท้าและไซส์สำหรับทดลองสวม ระบบจะส่งข้อมูลไปยังพนักงานในสาขานั้นๆเพื่อให้มาบริการคุณทันที
ฟีเจอร์ที่สอง Shop the Look เมื่อคุณสนใจเสื้อผ้า รองเท้าที่หุ่นกำลังสวมใส่อยู่ เพียงแค่คุณ Scan QR Code ที่หุ่นผ่านแอปพลิเคชั่นของ Nike ก็จะมีพนักงานนำเสื้อผ้าและรองเท้าในแบบที่หุ่นสวมใส่ เอามาให้คุณได้ทดลองทันที
ฟีเจอร์ที่สาม Instant Checkout คุณสามารถแสกนบาร์โค้ดของสินค้าผ่านแอปพลิเคชั่น เพื่อชำระสินค้าได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องรอคิว สร้างความสะดวกสบายและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
2. Reserve and Return
Reserve – ระบบจองสินค้าผ่านทางแอปพลิเคชั่น เมื่อคุณเลือกสินค้าที่สนใจอยากจะทดลองสวมใส่ผ่านแอป ระบบจะให้ QR Code กลับมา หลังจากนั้นเมื่อคุณไปถึงร้านคุณสามารถเดินไปที่ Smart Locker และแสกน QR Code โดยในตู้ Locker นั้นจะมีสินค้าที่คุณได้ทำการจองเพื่อทดลองเอาไว้เรียบร้อย ไม่ต้องเสียเวลา ไม่ต้องเดินไปติดต่อพนักงาน
Return – เมื่อคุณซื้อสินค้าแล้วแต่รู้สึกไม่ชอบ คุณสามารถคืนสินค้าได้ง่ายๆผ่านทางแอปพลิเคชั่น โดยเลือกวัน เวลาและสถานที่ในการคืนสินค้า ก็จะมีพนักงานเข้ามารับสินค้าที่คุณต้องการคืนทันที เรียกได้ว่าอำนวยความสะดวกกันสุดๆ
3. Instant Unlocks
สมาชิกของ Nike สามารถกดรับคูปองส่วนลดผ่านแอปพลิเคชั่น สิทธิพิเศษ ส่วนลดต่างๆจาก Partner ที่ร่วมรายการ ซึ่งลูกค้าแต่ละคนจะได้รับส่วนลดที่แตกต่างกัน ซึ่งแอปพลิเคชั่นจะวิเคราะห์จากพฤติกรรมการซื้อสินค้าและความสนใจสินค้าของรายบุคคล ซึ่งวิธีนี้ช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าเกิดการซื้อสินค้าตามที่แอปพลิเคชั่นแนะนำได้ดีอีกด้วย
ทั้งหมดนี้เป็นกลยุทธ์ที่ Nike ทำขึ้นมาเพื่อให้เข้าใจกลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้น ซึ่งคือการใช้วิธี Direct-to-consumer (DTC) แต่ละคนเพื่อเก็บข้อมูลลูกค้าว่ามีพฤติกรรมการใช้จ่ายอย่างไรบ้าง ทุกๆครั้งที่เกิดการสแกน QR Code Nike จะรู้ได้เลยว่าลูกค้าแต่ละคนมีพฤติกรรมและความชอบในสินค้าของแบรนด์อย่างไร สี่งนี้ถือเป็น Big Data ที่สำคัญเป็นอย่างมาก เพราะสามารถนำไปต่อยอดเพื่อทำการตลาด โปรโมทสินค้า ยิงโฆษณาให้ตรงจุด ตรงใจลูกค้ามากที่สุด ถือเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบรับคุ้มค่าเลยทีเดียว
Source: Postfunnel Diginomica Digitalcommerce360 Nike
สนใจเริ่มต้นขายของออนไลน์ โดยให้ Priceza เป็นผู้ช่วยให้คำปรึกษา? สามารถกรอกแบบฟอร์มด้านล่างเพื่อให้เราทราบว่าคุณต้องการให้เราช่วยในด้านไหนได้เลยค่ะ
